จาก1ล้านเป็น500ล้านผมทำอย่างไร

จาก1ล้านเป็น500ล้านผมทำอย่างไร
เล่าประสบการณ์การลงทุนของผมที่นำไปใช้ได้ง่ายๆ

วันอาทิตย์ที่ 9 กันยายน พ.ศ. 2561

การเป็นนักลงทุนที่ชาญฉลาด (ตอนที่ 2)


การเป็นนักลงทุนที่ชาญฉลาด (ตอนที่ 2)
              

               เรามาคุยกันต่อจากบทความที่แล้ว เรื่องการบริหารจัดการสภาพคล่องและการใช้บัญชี MARGIN จริงๆแล้วบัญชี MARGIN เปรียบเสมือนดาบ 2 คม คือ มีประโยชน์มากแต่ถ้าใช้ไม่เป็นก็สามารถสร้างโทษมหันต์ได้เช่นกัน เพราะว่าเวลาตลาดหุ้นขาขึ้น ถ้าคุณใช้ MARGIN คุณก็สามารถสร้างผลกำไรได้มากกว่า การใช้บัญชีเงินสด โดยเฉพาะถ้าคุณลงทุนหุ้นถูกต้องถูกจังหวะก็เปรียบเสมือนเสือติดปีกเลยทีเดียว ลองมาดูกันครับ ถ้าคุณมีเงิน 1 ล้านบาท คุณลงทุนด้วยบัญชีเงินสด คุณสร้างผลตอบแทนจากการลงทุนในรอบตลาดขาขึ้นนี้ ได้ 80% นั่นหมายถึง คุณสามารถทำกำไรได้ 800,000 บาท แต่ถ้าคุณลงทุนด้วยบัญชี MARGIN และหุ้นที่ซื้อทั้งหมดเป็นหุ้นที่โบรคเกอร์คุณให้ MARGIN 50% และคุณลงทุนเต็มวงเงิน นั่นหมายถึงคุณสามารถซื้อหุ้นในมูลค่าได้ถึง 2ล้านบาท คือเป็นเงินจากหลักประกันของคุณ 1ล้านบาทและเงินกู้จากโบรคเกอร์อีก 1ล้านบาท 

               สมมติต่อไปว่า ทางโบรคเกอร์คิดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้คุณ 7% ต่อปี สมมติว่าคุณซื้อหุ้นแล้วลงทุนถือยาวไป 1ปีพอดี คุณต้องจ่ายดอกเบี้ยเงินกู้ทั้งปีเป็นเงิน 72,290 บาท (ดอกเบี้ยคิดทุสิ้นเดือน ทบต้นไปทุกๆเดือน) สมมติว่าคุณลงทุนเหมือนกับที่คุณซื้อในบัญชีเงินสดทุกประการ แต่เม็ดเงินที่ลงทุนเป็น 2 เท่า นั้นหมายความว่าคุณจะได้กำไรจากการลงทุน1.60ล้านบาท หักดอกเบี้ยจ่าย 72,290บาทเท่ากับว่าคุณได้กำไรสุทธิ 1,527,710 บาทหรือคิดเป็นผลตอบแทนจากการลงทุนสุทธิเท่ากับ 152.77% เลยทีเดียว นี่คือเสน่ห์ของการใช้ MARGINในการลงทุนในช่วงตลาดขาขึ้น และคุณลงทุนหุ้นถูกตัว แต่ในทางกลับกันถ้าช่วงที่คุณลงทุนอยู่นั้น ตลาดหุ้นอยุ่ในช่วงวิกฤต ปรากฏว่าเงินที่คุณลงทุนไว้ 1 ล้านในบัญชีเงินสดปรากฏว่า มูลค่าหุ้นในพอร์ตลดลงไปเหลือ 700,000 บาทเท่ากับว่าคุณขาดทุนไป 30% 

              เราลองมาดูกันว่า ถ้าช่วงนั้นคุณลงทุนด้วย MARGINคุณจะเป็นอย่างไรบ้าง ผมบอกไว้ก่อนเลยครับว่า เหมือนกับดูหนังคนละเรื่องกันเลยทีเดียว ถึงแม้ดาราแสดง (หุ้น) ตัวเดียวกันและผู้กำกับ(ตัวคุณเอง)คนเดียวกัน สมมติฐานเดียวกันกับช่วงหุ้นขาขึ้น คือลงทุน 2 ล้าน  จากหลักประกัน 1 ล้าน หุ้นที่ลงทุนเหมือนกันแต่ปริมาณหุ้นเป็น 2 เท่า จากการใช้ MARGINในสภาพตลาดแบบเดียวกัน คุณจะขาดทุนเป็น 2 เท่าคือ 600,000 บาท เมื่อนำดอกเบี้ยจ่ายมารวมเข้าไปนั่นหมายถึง คุณจะขาดทุนรวม 672,290 บาท  หรือขาดทุน 67.23% เลยทีเดียว ส่วนของทุนของคุณจะเหลือเพียง 327,710 บาทเท่านั้นเอง เห็นไหมครับว่า นรกมีจริง ผมจึงมีความเห็นว่าบัญชี MARGINไม่เหมาะกับนักลงทุนที่มีประสบการณ์การลงทุนที่น้อยกว่า 5 ปีขึ้นไป และไม่ใช่ว่าคุณมีประสบการณ์การลงทุนมากกว่า 5ปี แล้วคุณจะเหมาะสมที่จะใช้บัญชี MARGINในการลงทุน เพราะนอกเหนือจากประสบการณ์จากการลงทุนที่ยาวนานแล้ว ความเชี่ยวชาญและความเข้าใจการลงทุนต้องมีมากพอ 



                   จากตัวอย่างที่ให้เห็นข้างต้น ส่วนมากผมจะแนะนำให้ซื้อขายในบัญชี MARGIN แต่อย่าเพิ่งใช้วงเงินกู้ ให้เก็บเอาไว้ใช้ในช่วงที่ตลาดวิกฤตจริงๆ จะทำให้คุณมีอำนาจการซื้อในยามที่หุ้นตก ในขณะที่ถ้าคุณใช้บัญชีเงินสด และคุณซื้อจนหมดเงินแล้วคุณก็จะได้แต่ทำตาปริบๆ เฝ้าดูราคาหุ้นที่ตกลงไปจนบางตัวทั้งๆที่เป็นหุ้นดีๆแต่ราคาตกต่ำลงไปตามภาวะตลาด จนราคาถูกว่าปัจจัยพื้นฐานมากๆ ซึ่งเป็นเรื่องจริงปกติของตลาดหุ้นที่มีความเป็น EXTREME มากๆ คือเวลาภาวะตลาดหุ้นดี ราคาหุ้นส่วนใหญ่ก็มีราคาสูงขึ้น โดยมีหุ้นหลายตัวเลยทีเดียวที่ราคาสูงเกินปัจจัยพื้นฐาน บางครั้งมีราคาพุ่งเกินมากกว่า 20-30% เลยเสียด้วยซ้ำ ในทางกลับกัน ในยามตลาดขาลง ราคาหุ้นส่วนใหญ่ก็จะมีราคาลดลง โดยมีหุ้นหลายตัวเลยที่ราคาต่ำเกินปัจจัยพื้นฐานมากๆ บางครั้งต่ำกว่าปัจจัยพื้นฐานถึง 20-30% เลยก็มี บางครั้งมีข่าวลือที่ไม่เป็นจริงแต่ทำให้ตลาดหุ้นลงแรงๆ

                อย่างเช่นวันที่ 15 ธันวาคม ปี 2557  ที่ตลาดหุ้นลงไปทำจุดต่ำสุดที่ 1,375.99 จากราคาปิดวันก่อนหน้าที่ 1,514.95 จุด ลดลงไปถึง 138.96 ภายในวันเดียว หรือลดลงไปถึง 9.17% เกือบถึงจุด CIRCUIT BREAKER ที่ 10% เลยทีเดียว ก่อนที่นักลงทุนจะตระหนักว่าเป็นข่าวลือที่ไม่จริง จนตอนปิดตลาดขึ้นมาปิดที่ 1,478.49 ขึ้นมาจากจุดที่ต่ำสุด 102.50 จุด คิดเป็น 7.45 % ภายในครึ่งวันทำการเท่านั้น ถ้าในวันนั้นท่านมีสภาพคล่องเหลือไม่ว่าจะเป็นบัญชีเงินสดหรือบัญชี MARGINก็ตาม และท่านเป็นนักลงทุนที่ใช้เหตุใช้ผล คงจะเข้าไปซื้อหุ้นตอนช่วงที่ SET INDEX ตกต่ำกว่า 1,400 จุดเป็นแน่ ลองคิดดูสิครับ ว่าท่านจะได้กำไรเพียงใด 

               ท่านใดอยากจะใช้บัญชีเงินสดหรือบัญชี MARGIN ในการลงทุน ก็คงจะแล้วแต่วิจารณญานของท่านเอง อย่างไรก็ตาม อย่าพยายามคิดเข้าข้างตัวเอง ว่าตนเองมีความรู้ความสามารถเข้าใจแล้ว ถึงคุณเองจะมีประสบการณ์การลงทุนมานานระดับหนึ่งแล้วก็ตาม เพราะว่าผลลัพธ์จากการใช้บัญชีประเภทใดในการลงทุน จะสร้างความแตกต่างในผลลัพธ์จากการลงทุนอย่างมหาศาล พิจารณาให้ดีก็แล้วกันนะครับ


               เอาละ สมมติว่าท่านตัดสินใจได้แล้วว่าจะใช้บัญชีซื้อขายหุ้นประเภทไหนแล้วต่อไปก็คือการเลือกหุ้นกันเสียที ว่าไอ้ที่เลือกแบบ FUNDAMENTAL ANALYSIS มีหลักเกณฑ์อย่างไรบ้างและแบบ TECHNICAL ต้องดูกราฟตัวไหน อย่างไร ผมขอเริ่มต้นที่ FUNDAMENTALก่อนเลยครับ เพราะว่าผมมีความเห็นว่า การที่เลือกหุ้นที่จะลงทุนควรดูจาก TOP DOWN และBOTTOM UP ทีนี้เราลองมาดูกันครับว่า มันแตกต่างกันอย่างไร

1.  TOP DOWN เป็นการวิเคราะห์จาก MACRO หรือภาพรวมของเศรษฐกิจก่อน โดยจะเริ่มจากเศรษฐกิจโลกเลยยิ่งดี ว่าช่วงนั้นภาวะเป็นอย่างไรบ้าง  และปัจจุบันนักลงทุนยังต้องคอยเงี่ยหูฟังคำพูดของคณะกรรมการ FED ที่มีสิทธิ์ออกเสียงในที่ประชุมเป็นรายคน และที่สำคัญที่สุดก็คือคำพูดของประธาน FED คนปัจจุบันว่า จะพูดชี้นำอย่างไร แล้วก็เอามาตีความกันว่า คำพูดอย่างนี้หมายความว่าอย่างไร โดยพยายามตีความเพื่อหา CLUE ที่จะชี้นำว่า FED จะมีการขึ้นดอกเบี้ยเมื่อไร ซึ่งแน่นอนจะมีผลกระทบไม่เพียงแต่ตลาดหุ้นสหรัฐเท่านั้น แต่จะกระเทือนไปยังตลาดหุ้นทั่วโลก แน่นอนต้องรวมตลาดหุ้นไทยเข้าไปด้วย สภาวะเศรษฐกิจโลกช่วงที่ผ่านมา ที่เติบโตลดลงไปมากหลักจากวิกฤต HAMBUGER CRISIS ที่สหรัฐเมื่อปี 2551 บวกกับฐานที่ใหญ่ขึ้นอย่างมาก จีนจะทำอย่างไรที่จะรักษาการเติบโตของ GDP โดยช่วงที่ผ่านมาจีนเองก็ได้มีการลงทุนสร้างสาธารณูปโภคไว้มากมายแล้ว ไม่ว่าจะเป็นถนนหนทาง รถไฟความเร็วปกติและรถไฟความเร็วสูง จนเป็นประเทศที่มีความยาวของรางรถไฟเป็นอันดับ 4 ของโลกรองจากสหรัฐ (224,792 กม. ข้อมูลปี 2554) ที่มาเป็นอันดับหนึ่ง รัสเซียอันดับสอง (128,000 กม.ข้อมูลปี 2555)  อินเดียอันดับสาม (116,000 กม. ข้อมูลปี 2558) และจีน (112,000 กม. ข้อมูลปี 2558)  ในสมัยก่อนนั้นอินเดียสร้างทางรถไฟไว้มากโดยเฉพาะช่วงที่เป็นอาณานิคมของอังกฤษ จีนเองเพิ่งมาเริ่มสร้าง เมื่อสิบกว่าปีที่ผ่านมานี้เอง 

               จากการที่ภาวะเศรษฐกิจของโลกโดยรวมยังมีการฟื้นตัวไม่มากนัก  อัตราดอกเบี้ยทั่วโลกยังอยู่ในระดับค่อนข้างต่ำ  ซึ่งเกิดจากดอกเบี้ยนโยบายที่ควบคุมโดยธนาคารของประเทศต่างๆ เพื่อกระตุ้นให้เกิดการจับจ่ายใช้สอย และการลงทุน  โดยอาจจะมีบางประเทศที่มีการขึ้นดอกเบี้ยบ้างก็ตาม อัตราดอกเบี้ยที่ต่ำทำให้นักลงทุนต้องหาช่องทางลงทุนที่จะเพิ่มผลตอบแทนจากการลงทุน แทนที่จะลงทุนในตราสารหนี้ ที่อัตราดอกเบี้ยมีแนวโน้มที่จะสูงขึ้น  ดังนั้นการลงทุนในตราสารทุนหรือหุ้นนั่นเอง เป็นทางเลือกที่ไม่ว่าจะเป็นนักลงทุนสถาบัน หรือ ผู้มีเงินออมที่เป็นนักลงทุน อาจจะมีการ Switch สินทรัพย์ในพอร์ต  

              ส่วนในประเทศไทย การท่องเที่ยวน่าจะยังดีอยู่ การท่องเที่ยวเป็นอุตสาหกรรมที่มีผลกระทบกับธุรกิจต่างๆไม่ว่าจะเป็นโรงแรม MICE ร้านอาหาร  สปา  ฯลฯ  ซึ่งเกี่ยวข้องกับคนต่างๆที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจเหล่านี้  เนื่องจากประเทศไทยมีทรัพยากรทางด้านการท่องเที่ยว ไม่ว่าจะเป็นแหล่งท่องเที่ยวตามธรรมชาติ การท่องเที่ยวแบบวัฒนธรรม  และโบราณสถานต่างๆเป็นต้น และค่าใช้จ่ายในการท่องเที่ยวไม่แพง คุ้มค่าเงิน ดังที่ว่า หน่วยงานหรือสื่อใดๆ ก็ตามเมื่อทำการสำรวจ ประเทศไทยมักติดอันดับ TOP 5 หรืออย่างน้อย TOP 10  ประเทศที่คุ้มค่าเงินที่สุดสำหรับนักท่องเที่ยว 



          ท่านผู้อ่านคงเริ่มเข้าใจมากขึ้นเกี่ยวกับการลงทุน ว่าการที่อัตราดอกเบี้ยลดลงมีผลอย่างไรกับตลาดหุ้น มิฉะนั้นนักลงทุนทั่วโลกทำไมต้องคอยติดตามคำพูดของประธานและคณะกรรมการFED นักลงทุนไทยต้องติดตามผลการประชุม กนง. เพิ่มขึ้นมาอีกด้วย จากภาวะเศรษฐกิจโลก โดยเฉพาะคู่ค้าหลักๆของเราก็มีเพียงแค่สหรัฐเท่านั้นที่ดู OK ส่วนญี่ปุ่น จีน ประเทศในกลุ่ม EU รวมทั้ง ASEAN ที่นำเข้าสินค่าจากไทยลดลง ถ้าท่านเป็นนักลงทุนที่ลงทุนในตลาดหุ้นไทย ท่านก็ต้องวิเคราะห์กันอีกว่า ในช่วงภาวะเศรษฐกิจโลกแบบนี้ จะส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมต่างๆในประเทศไทยอย่างไร นอกเหนือจากภาวะเศรษฐกิจและการเมืองของไทย ซึ่งเมื่อเลือกอุตสาหกรรมที่ท่านคิดว่าน่าสนใจ มาสัก 5-6 อุตสาหกรรมเป็นอย่างน้อย หลักจากนั้นท่านก็ลองมาดูรายชื่อบริษัทต่างๆที่อยู่ในอุตสาหกรรมดังกล่าว แล้วก็เลือกออกมาสัก 2-3 บริษัทโดยเลือกผู้นำของอุตสาหกรรมนั้น แล้วเลือกเบอร์ 2 และ เบอร์3 ของธุรกิจนั้น 
    
             หลังจากนั้นก็เริ่มขบวนการคัดเลือกให้เหลือเพียง 1 บริษัท ที่ราคาตลาดมีส่วนลดจากราคาตามปัจจัยพื้นฐานมากที่สุด(ส่วนราคาตามปัจจัยพื้นฐานมีวิธีการหาได้อย่างไร ผมจะมาพูดถึงวิธีการในตอนต่อๆไป) ขบวนการนี้เริ่มโดยนำรายงาน 56-1 และรายงานประจำปี มาอ่าน ของทั้ง 3  บริษัท ดูเหมือนต้องอ่านมากหน่อย ถ้าท่านอยากจะเป็นนักลงทุนที่ประสบความสำเร็จ ท่านต้องทำได้ การที่อ่านรายงานของทั้ง 3 บริษัท นอกจากจะทำให้เข้าใจบริษัทที่ท่านอ่านมากขึ้นไม่ว่าจะเป็น สินค้าหรือบริการของทางบริษัท ภาวะการณ์ของธุรกิจช่วงที่ผ่านมาและในอนาคตอันใกล้ ปัจจัยต่างๆที่สามารถส่งผลกระทบต่อการดำเนินการของบริษัท ปัญหาความขัดแย้งทางกฎหมายกับบุคคลภายนอก ซึ่งบางครั้งมีผลกระทบใหญ่หลวงต่อผลประกอบการของบริษัทในอนาคต อย่างเช่นปัญหาขัดแย้งของ BANPU กับบริษัทศิวะงานทวี จำกัด เรื่อง โรงไฟฟ้าหงสา ที่อาจจะทำให้ BANPU ต้องจ่ายเงินจำนวนมหาศาลถ้าแพ้คดี เป็นต้น และหลายๆครั้งจะพบว่ารายงานดังกล่าวที่ต้องอ่าน มีหลายบริษัทจะเขียนในแง่มุมของผู้บริหารของบริษัทนั้นๆ อาจจะมีการ BIAS ได้ แต่ถ้าอ่านรายงานของทั้ง 3 บริษัท จะทำให้ท่านสามารถเห็นภาพรวมของทั้งอุตสาหกรรมเลยทีเดียว ทำให้ท่านมีความเข้าใจในอุตสาหกรรมนั้นๆได้ลึกซึ้งมากยิ่งขึ้น ซึ่งจะส่งผลให้การวิเคราะห์คาดการณ์ที่เป็นงานที่ท่านจะต้องทำต่อไปมีความแม่นยำมากขึ้น ยิ่งถ้าบังเอิญงานที่นักลงทุนทำอยู่หรือท่านมีความรู้เกี่ยวกับอุตสาหกรรมนี้อยู่แล้ว ท่านก็จะได้เปรียบนักลงทุนรายอื่น 

              หลังจากนั้นผมก็จะเอางบการเงินย้อนหลังสัก 3 ปี เป็นอย่างน้อย แต่ถ้าท่านขยันมากขึ้นอีกหน่อย เอางบการเงินย้อนหลังมาดู 5 ปีเลย จะทำให้ท่านเห็นแนวโน้มของรายการต่างๆในงบการเงิน ไม่ว่าจะเป็นยอดขาย ต้นทุนขาย ค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารส่วนดอกเบี้ยจ่ายที่เกิดจากการกู้เงินไม่ว่าจะเป็นการกู้จากสถาบันการเงิน ซึ่งอาจจะมีอัตราดอกเบี้ยลอยตัวหรือคงที่ หรือการออกตราสารหนี้ ไม่ว่าจะเป็นหุ้นกู้ที่อาจจะออกมาหลายๆงวด ระยะเวลาของหุ้นกู้แต่ละรุ่นอาจจะยาวไม่เท่ากันรวมทั้งอัตราดอกเบี้ยที่ไม่เท่ากัน หรืออาจจะเป็นหุ้นกู้แปลงสภาพที่ให้สิทธิ์ผู้ถือหุ้นกู้ประเภทนี้ มีทางเลือกมากขึ้นจากการที่จะได้รับเพียงดอกเบี้ย เรายังมีสิทธิ์ที่จะแปลงสภาพหุ้นกู้เหล่านี้เป็นหุ้นสามัญ เมื่อราคาตลาดของหุ้นสามัญของบริษัทนี้มีราคาสูงกว่าราคาตลาดพอสมควร อย่างไรก็ตาม บริษัทที่ออกหุ้นกู้ประเภทนี้ส่วนใหญ่จะกำหนดบังคับให้ผู้ถือหุ้นกู้ประเภทนี้แปลงสภาพ เมื่อราคาตลาดสูงกว่าราคาแปลงสภาพระดับหนึ่ง ซึ่งถ้าท่านไม่สามารถหาได้จากรายงานดังกล่าว ก็อาจจะสอบถามจากแผนก INVESTOR RELATION ของบริษัทนั้นๆ รวมทั้งการเข้าร่วมงาน OPP DAY เมื่อบริษัทดังกล่าวเข้าร่วม รวมทั้งติดตามบทสัมภาษณ์ของผู้บริหารจากสื่อต่างๆและอ่านบทวิเคราะห์ของบริษัทเหล่านี้จากโบรคเกอร์ต่างๆใน www.settrade.com เพราะว่าโดยปกตินักวิเคราะห์ของโบรคเกอร์ต่างๆมีโอกาสได้เข้าพบพูดคุยกับผู้บริหารมากกว่านักลงทุนรายย่อย แต่การอ่านบทวิเคราะห์ ท่านต้องสกรีนเอาข้อมูลที่เป็น FACT แต่ส่วนที่เป็นความเห็น ท่านควรจะพินิจพิเคราะห์ให้มากสักหน่อย เพราะว่านักวิเคราะห์บางรายก็ไม่ค่อย OK นัก ดังนั้นข้อสำคัญคือต้องแยกแยะเอาส่วนที่เป็น FACT กับความเห็นออกมาจากบทวิเคราะห์นั้นๆ นอกจากนั้นการติดตามภาวะอุตสาหกรรมที่สนใจจากคำสัมภาษณ์ของนายกสมาคมของอุตสาหกรรมนั้นๆ 

               อย่างเช่น การที่ผมสนใจธุรกิจประกันชีวิตจากคำสัมภาษณ์ของนายกสมาคมประกันชีวิตเมื่อ 10 ปีที่แล้ว จนทำให้ผมลงทุนใน SCNYL (ชื่อในขณะนั้น ส่วนปัจจุบันชื่อ SCBLIF) ซึ่งสร้างผลตอบแทนแก่ผมมากกว่า 1,800% ภายในเวลาที่ถือครองหุ้นตัวนี้มา 7-8 ปี ส่วนงบการเงินนั้น สิ่งที่ท่านต้องดู ไม่ใช่เพียงแค่บรรทัดสุดท้ายหรือกำไรสุทธิ/หุ้นเท่านั้น สิ่งที่ท่านต้องดูคือทุกรายละเอียดของงบการเงินนั้นๆ ไม่ว่าจะเป็นยอดขาย ต้นทุนขาย ซึ่งทำให้ท่านสามารถเปรียบเทียบการเติบโตของยอดขายทั้ง YOY ของบริษัททั้ง 3 และอัตราส่วน GROSS PROFIT MARGIN เทียบ YOY ของบริษัทเดียวกัน และเทียบกันระหว่าง3บริษัท ดูว่าบริษัทไหนที่มี GROSS PROFIT MARGIN ที่ดีกว่า และยังมียอดรายได้ที่โตขึ้น YOY มาตลอด 5 ปี บริษัทนี้เข้าเค้าแล้วว่าน่าจะเป็นบริษัทที่น่าสนใจลงทุน แต่ช้าก่อนเรายังมีขั้นตอนการสกรีนหุ้นที่จะลงทุนขั้นต่อไป โดยดูค่าใช้จ่ายในการขายและบริหาร เพื่อดู EBIT/ยอดขายสุทธิ (EBIT=EARNING BEFORE INTEREST & TAX) เช่นเดียวกัน บริษัทไหนที่มีอัตราส่วนนี้ดีขึ้น YOY และดีกว่าบริษัทที่เหลือ บริษัทนั้นน่าสนใจที่สุด แต่ตอนจะเหลียวไปดูบรรทัดสุดท้าย ท่านควรตรวจสอบดูว่ามีรายการพิเศษบ้างไหม เช่น กำไร (ขาดทุน) จากอัตราแลกเปลี่ยนหรือกำไร (ขาดทุน)จากราคาวัตถุดิบ หรือกำไรขาดทุนที่เกิดจากการขายทรัพย์สินหรือหุ้นของบริษัทในเครือหรือบริษัทย่อย  ถ้ามีรายการพวกนี้ควรจะนำไปหักออกจากกำไรสุทธิแล้วควรจะบวกกลับภาษีที่เกิดขึ้นจากรายการเหล่านี้กลับเข้าไป เพื่อจะได้กำไรปกติสุทธิ/หุ้น ซึ่งจะเป็นตัวที่เราจะนำมาใช้คำนวณหา NET PROFIT MARGIN เปรียบเทียบทั้ง YOY และเทียบเคียงกันระหว่าง 3 บริษัท 

             เนื้อที่หมดเสียแล้วครับ อ่านต่อบทความหน้าละกันครับ

กิติชัย เตชะงามเลิศ


    9/9/61

อ่าน การเป็นนักลงทุนที่ชาญฉลาด ( ตอนที่ 1 ) ได้ที่ http://kitichai1.blogspot.com/2018/09/1.html
       การเป็นนักลงทุนที่ชาญฉลาด ( ตอนที่ 2 ) ได้ที่ http://kitichai1.blogspot.com/2018/09/2.html
       การเป็นนักลงทุนที่ชาญฉลาด ( ตอนที่ 3 ) ได้ที่ http://kitichai1.blogspot.com/2018/09/3.html
       การเป็นนักลงทุนที่ชาญฉลาด ( ตอนที่ 4 ) ได้ที่ http://kitichai1.blogspot.com/2018/09/4.html
       การเป็นนักลงทุนที่ชาญฉลาด ( ตอนจบ )  ได้ที่ http://kitichai1.blogspot.com/2018/09/blog-post_9.html


        ถ้าท่านชอบบทความผม ท่านสามารถสมัครสมาชิกโดยกรอกอีเมลของท่าน ในช่องใต้ Follow by Email ทางด้านขวามือ เมื่อมีบทความใหม่ๆ ก็จะมีการส่งอีเมลแจ้งเตือนให้ท่านทราบ เพื่อจะได้ไม่พลาดบทความดีๆกันนะครับ



ติดตามสาระดีๆทั้งไลฟ์สไตล์และการลงทุนได้ที่


      หรือ 1.หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์ทุกวันพุธหน้า B6 ในคอลัมน์ "เขียนอย่างที่คิด"   
              2.วารสารเภตรา ของสมาคมศิษย์เก่าคณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี และ จุลสารเตชะสาร ของสมาคมเตชะสัมพันธ์ ทุกไตรมาส




ห้องที่จะขายดาวน์(เข้าอยู่ได้เลย)
     ห้อง 2 นอน 1 น้ำ  43.5 ตารางเมตร ไม่ติดลิฟท์และห้องขยะ ไม่โดนบล็อควิว เฟอร์นิเจอร์ครบครัน ตกแต่งสวยมาก ราคา 7,000,000 บาท 



ดู VDO ที่  https://youtu.be/MFkfks7Q3XM
                https://youtu.be/71DIiM0m4tM

สามารถดาวน์โหลดรูปภาพและวีดีโอทั้งหมดของ อัลทีจูด ดีไฟน์ สามย่าน(Altitude Define Samyan) ได้ที่ https://www.dropbox.com/sh/yydb77yvmhk1926/AAAOykYkVdsXAVOanCti6x0aa?dl=0

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น