ดัชนี 1,455 จุด แล้วไง?
#ดัชนีตลาดหลักทรัพย์
เมื่อเดือนธันวาคมปีที่แล้ว(2562) ตอนที่ยังไม่มีการระบาดของ
#ไวรัสโควิด19 ดัชนีอยู่แถว 1,500
กว่าๆ หลังจากนั้นก็มีการระบาดของไวรัสทั่วโลก
ดัชนีจึงลงมาทำจุดต่ำสุดที่ 969.08 หรือลงมาคิดเป็นประมาณ 40%
เมื่อวันที่ 13 มีนาคม 2563 หลังจากนั้นก็ไต่ระดับขึ้นมาเรื่อยๆ เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว
ขึ้นไปทำจุดสูงสุดของวัน(8/6/63)(ภาพที่ 1)ที่ 1,454.95 ขึ้นมา 485.87 จุด
หรือขึ้นมา 50.14% ในเวลาเพียงประมาณ 2 เดือน ซึ่งเมื่อเทียบกับดัชนีช่วงเดือนธันวาคมปี 2562 เท่ากับว่าลงมาเพียง 7เปอร์เซ็นต์เท่านั้น ช่างน่าประหลาดใจจริงๆ
คล้ายกับตลาดจะบอกว่าวิกฤตไวรัสไม่ได้เป็นเรื่องใหญ่โตเลย
แล้วจะมีการฟื้นคืนกลับมาในลักษณะวีเชพของเศรษฐกิจ
ผมกำลังสงสัยว่าตลาดอาจจะมีความเชื่อแบบผิดๆ
การที่รัฐบาลทั่วโลกรวมทั้งประเทศไทยกำลังออกมาตรการเพื่อจะช่วยอุดหนุนคนในชาติและธุรกิจต่างๆ
คุณคิดว่าเงินที่ปั๊มออกมาจะช่วยได้สักกี่เดือน ถ้าสถานการณ์ไวรัสยังอันตรายอยู่
ภาพที่ 1 : ดัชนีตลาดหลักทรัพย์
ตราบใดที่ยังไม่มีวัคซีนที่จะต่อสู้กับเจ้าไวรัสตัวร้ายนี้ได้
ซึ่งผมเชื่อว่าอย่างเร็วสุดก็คงจะเป็นครึ่งหลังของปีหน้า
กว่าที่วัคซีนจะมีการพิสูจน์ว่าใช้แล้วได้ผล
และมีการฉีดวัคซีนให้กับคนส่วนใหญ่บนพื้นโลกใบนี้
ซึ่งกว่าจะถึงเวลานั้นเชื่อว่าจะมีธุรกิจที่เกี่ยวข้อง
จะต้องล้มหายตายจากไปอีกเป็นจำนวนมาก
ซึ่งจะทำให้การเติบโตของเศรษฐกิจของทุกประเทศในโลกนี้ซึ่งรวมถึงประเทศไทยด้วย
จะแย่ลงอย่างเห็นได้ชัด
ซึ่งแน่นอนจะทำให้ธุรกิจที่เกี่ยวกับการท่องเที่ยวปีนี้และปีหน้ายังจะแย่อยู่
รวมทั้งความต้องการในสินค้าและบริการของคนทั้งโลกจะลดลง
ประเทศไทยเป็นประเทศที่มีเศรษฐกิจที่พึ่งพาการท่องเที่ยวและการส่งออก จากสถานการณ์ไวรัสที่ยังระบาดหนักไปอยู่ทั่วโลกดังเช่นปัจจุบันนี้
นักท่องเที่ยวที่จะเดินทางไปท่องเที่ยว คงต้องคิดหนัก
ถึงแม้ว่าประเทศไทยจะเป็นประเทศที่มีการระบาดของไวรัสอยู่ในวงจำกัดก็ตาม
แต่ความขยาดเจ้าตัววายร้ายนี้ยังฝังอยู่ในจิตใจของมนุษย์ทุกคนบนโลกนี้ ถึงแม้ว่าจะมีการท่องเที่ยวในรูปแบบ
Travel Bubble ก็ตาม
ฟันธงได้เลยว่าจำนวนนักท่องเที่ยวที่จะเดินทางมาประเทศไทยจะต้องลดลงเป็นจำนวนมาก
จัดส่งผลกระทบให้กับแรงงานที่อยู่ในธุรกิจที่เกี่ยวข้องเป็นจำนวนมาก
เมื่อตกงานไม่มีรายได้หรือมีรายได้ลดลง ก็จะทำให้ความต้องการที่จะซื้อสินค้าและบริการพลอยลดลงตามไปด้วย
ทำให้การใช้จ่ายจะมีการระมัดระวังมากขึ้น
ไม่ว่าจะเป็นการซื้อสินค้าคงทนหรือการท่องเที่ยวและอื่นๆ
คนส่วนใหญ่จะเลือกซื้อแต่สิ่งของที่จำเป็นเท่านั้น
อะไรที่ยังพอใช้ได้ก็จะทนใช้ต่อไป นั่นหมายถึงจะกระทบเศรษฐกิจไทยโดยรวม
การที่ผู้ติดเชื้อ #โควิด19 ในเมืองไทยเพิ่มขึ้นเป็นตัวเลขหลักเดียวต่อวัน
ส่วนหนึ่งเป็นเพราะเราล็อคดาวน์ประเทศ แต่เมื่อทยอยปลดล็อคดาวน์
รวมทั้งอนุญาตให้มีคนต่างชาติหรือกระทั่งคนไทยที่มาจากต่างประเทศเข้ามาในประเทศได้
การระบาดรอบ 2 ก็มีความเป็นไปได้สูง
ช่วงเกิดการระบาดของไข้หวัดสเปนเมื่อ 100 ปีที่แล้ว
ปรากฏว่าการระบาดรอบที่ 2 ทำให้ผู้คนล้มตายไปมากกว่ารอบแรกเสียอีก
ตราบใดที่ยังมีผู้ติดเชื้อบนโลกนี้เป็นหลักล้านคน
และยังไม่มีวัคซีนที่จะป้องกันและรักษาได้ ซึ่ง #องค์การอนามัย
#WHO ก็บอกแล้วว่า จะมีวัคซีนได้เร็วสุดก็คือปีหน้า
อย่าลืมนะครับ กว่าจะผลิตวัคซีนเพื่อจะฉีดให้กับประชากรทั้งโลก
ซึ่งปัจจุบันมีจำนวนเกือบ 7,800 ล้านคน
ขั้นตอนการทดสอบและผลิต ย่อมต้องใช้เวลานาน #Fauci บอกว่าไวรัส
#โควิด19 น่าจะระบาดประมาณ 2 ปี ระหว่างนี้จะควบคุมไม่ได้ จนกว่าจะมีประชากร 2 ใน
3 ของโลกติดเชื้อแล้ว หรือเกิด Herd immunity การระบาดจะเกิดเป็นระลอก ที่น่ากลัวก็คือ
สายพันธุ์ที่ยุโรปอเมริกาและเอเชียคนละสายพันธุ์กัน
และคนที่เคยติดแล้วยังสามารถกลับมาติดเชื้อนี้ใหม่ได้อีก
การคาดหวังเรื่องวัคซีนในระยะสั้น เป็นการเล็งผลเลิศเกินไป
การเดินทางของคนทั้งโลกจะไม่เหมือนเดิมอีกต่อไปตราบใดที่ยังไม่มีวัคซีนที่จะป้องกันและรักษาไวรัสตัวนี้ได้
เครื่องบินหรือพาหนะที่ใช้เคลื่อนย้ายและขนส่งคน จะมีการใช้ capacity ลดลงอย่างน้อยครึ่งหนึ่ง เพราะว่าจะต้องมีการจัดการเกี่ยวกับ physical
Distancing ยังไม่นับอุปสงค์ที่จะลดลงจากการที่จะเดินทางเท่าที่จำเป็นเท่านั้น
ระบบการใช้การประชุมออนไลน์ในปัจจุบันก็มีเครื่องไม้เครื่องมือที่อำนวยความสะดวกมากมาย
รวมทั้งการเดินทางเพื่อสันทนาการจะลดลงเป็นอย่างมาก ลองถามตัวเองสิครับว่า
จะให้นั่งรถทัวร์หรือขึ้นเครื่องบินนานๆ แล้วมีคนนั่งติดอยู่กับคุณทั้งด้านหน้า
ด้านหลัง ด้านซ้าย ด้านขวา ขอให้คุณใส่หน้ากากอนามัยด้วย
คุณจะรู้สึกอย่างไรในสถานการณ์แบบนี้ ผมจึงไม่แปลกใจว่าทำไม
#วอร์เรนบัฟเฟตต์ ถึงขายทิ้ง #หุ้นกลุ่มสายการบิน
ในพอร์ตออกไปทั้งหมด เพราะว่าจะมีหลายบริษัทในกลุ่มนี้เจ๋งไปในที่สุด
ถึงแม้ว่าจะมีบริษัทที่รอดก็ตาม แต่เมื่อหลังจากการระบาด #โควิด19
ลดลง ความที่ธุรกิจนี้มี Barrier of Entry ต่ำ
ดังนั้นใครที่มีเงินก็สามารถที่จะเปิดบริษัทสายการบินใหม่ จึงเป็นธุรกิจที่ไม่น่าสนใจในการลงทุน
ธุรกิจที่จะล้มหายตายจากไปก่อนก็คือธุรกิจที่เกี่ยวกับการท่องเที่ยว
โดยเฉพาะสายการบินและโรงแรม ขนาดที่ว่าในช่วงภาวะปกติ #การบินไทย
ก็จะเจ๊งมิเจ๊งแหล่อยู่แล้ว ยิ่งมาเจอสถานการณ์แบบนี้
ถ้าไม่ใช่ธุรกิจที่รัฐบาลอุ้มชู ก็ต้องเจ๊งแน่นอน คิดดูสิครับ
ถ้าไวรัสยังระบาดแบบนี้ Physical distancing จะทำให้เครื่องบินแต่ละลำ
รับผู้โดยสารได้ลดลงไม่น้อยกว่าครึ่งหนึ่ง ถึงแม้ว่าราคาน้ำมันจะลดลง
แต่ต้นทุนอื่นๆไม่ได้ลดลงตาม ในขณะที่รายได้หายไปไม่ต่ำกว่า 50% เผลอๆน่าจะต่ำกว่า 70% เสียด้วยซ้ำ
เพราะว่าคนส่วนใหญ่ก็ยังขยาดที่จะต้องนั่งอยู่บนเครื่องบินที่มีพื้นที่จำกัดและการระบายอากาศก็ไม่ดี
ร้านอาหารภัตตาคารก็เป็นอีกกลุ่มธุรกิจนึงที่จะได้รับผลกระทบอย่างสูง
โดยเฉพาะจิ้มจุ่มและชาบู รวมทั้งไลน์บุฟเฟ่ ถ้าสถานการณ์ระบาดยังคงดำเนินต่อ
นอกจากจะทำให้ผู้คนไม่กล้าที่จะเข้าไปนั่งทานในร้านแล้ว ที่ร้านเองก็ยังต้องจัดที่นั่งให้ผู้ที่เข้ามารับประทานอาหารนั่งห่างกัน
ยังไม่นับรวมถึงการทำความสะอาดหลังจากที่ลูกค้าออกจากร้านไปอีก
น่าจะทำให้รายได้ลดลงไม่ต่ำกว่าครึ่งหนึ่ง ถ้าไปขึ้นราคาอาหาร
ก็จะทำให้ปริมาณลูกค้าลดลง ในขณะที่ต้นทุนเพิ่มขึ้น
การที่รัฐอนุญาตให้เปิดร้านอาหารอีกครั้ง
ก็ไม่แน่ว่าจะทำให้ธุรกิจจะอยู่รอดได้หรือไม่ ธุรกิจที่มีสายป่านสั้นคงไม่น่าจะรอด
การลดจำนวนพนักงานและการเพิ่มช่องทางขายออนไลน์
คงจะเป็นทางเลือกที่พอจะมีอยู่อันน้อยนิด ในสถานการณ์แบบนี้ร้านค้าอยู่ไม่ได้
บรรดาเจ้าของห้างก็น่าจะเหนื่อย เพราะว่าค่าเช่าที่เคยเรียกเก็บได้คงจะต้องลดลง
ถ้าไม่ลดค่าเช่าร้านค้าก็อยู่ไม่ได้เช่นกัน
ทั้งหลายทั้งปวงก็จะส่งผลกระทบให้กับการจ้างงานไปด้วย
สิ่งที่น่ากลัวที่สุดก็คือเราแทบจะไม่มีธุรกิจอะไรที่จะตอบรับกับ New
Normal ได้เลย ไม่เหมือนกับที่เมืองจีนมี
#Alibaba
#Tencent
#WeChat
#Huawei หรือที่เมกามีหุ้นกลุ่ม
#FAANG :
#Facebook
#Amazon
#Apple
#Netflix # Alphabet (Google)
#AirBNB กระทั่ง
#Grab ของมาเลเซียหรือ
#Get ของอินโดนีเซีย(โกเจ็ก)
โลกหลังจากนี้จะไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป คนที่ไม่ยอมปรับตัวหรือปรับตัวไม่ได้
หรือผู้ที่เลือกที่จะอยู่ใน Comfort Zone จะถูกละทิ้งไว้อยู่ที่เบื้องหลัง
ที่น่าเป็นห่วงก็คือคนไทยส่วนใหญ่จะเป็นคนกลุ่มนี้ ส่วนผู้ที่รอดคือผู้ที่ยอมปรับตัวหรือปรับตัวได้เท่านั้น
เป็นไปตาม #ทฤษฎีชาร์ลดาร์วิน
Photo Credit: MoneyBuffalo
โดยเฉพาะเศรษฐกิจไทยพึ่งพาอุตสาหกรรมที่เกี่ยวกับการท่องเที่ยวและการส่งออกเป็นอย่างมาก
เรามีธุรกิจหรืออุตสาหกรรมที่จะมารองรับ New Normal น้อยมาก
การฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยจะแย่และช้ากว่าโดยเฉลี่ยของทั้งโลกครับ
ผมเชื่อว่ากำไรของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ปีนี้คงจะอยู่ที่ประมาณ 60
ถึง 65 บาทและปีหน้าคงจะอยู่ที่ราวๆ 75-80
บาทดังนั้น PE ตลาดของปีนี้ปัจจุบันซื้อขายกันที่ประมาณ
24 เท่าและคิดเป็น 19 เท่ากว่าๆสำหรับ PE
ของตลาดในปีหน้า ซึ่งนับว่าไม่ถูกเลย
เมื่อเทียบกับความเสี่ยงของความไม่แน่นอน ดูเหมือนว่านักลงทุนไทยจะมี Risk
Appetite มากขึ้น สำหรับผมคิดว่า Risk
vs Reward ณปัจจุบันนี้ไม่คุ้มค่าเลย
ภาพนี้เป็นภาพที่ผมกลัวมากที่สุด
เพราะถ้าเป็นไปตามในรูปนี้จริงๆ แสดงว่า
#นรกยังมาไม่ถึง
#MAYDAYMAYDYเราช่วยกัน Photo credit, Jean Paul
Rodrigue Dept.
รัฐบาลต่างๆทั่วโลกก็มีหนี้สินต่อ GDP อยู่ในอัตราที่สูงอยู่แล้ว
ยิ่งถ้ามีการนำเงินอนาคตมาใช้เป็นจำนวนมาก แน่นอนย่อมส่งผลกระทบต่อมูลค่าเงินที่แท้จริงของระบบการเงินทั้งโลก
จึงไม่แปลกใจที่ทำไมราคาทองคำถึงขึ้นมามาก
และนักวิเคราะห์ยังทำนายว่ายังจะขึ้นไปได้อีกเกือบร้อยเปอร์เซ็นต์จากจุดนี้
ในเมื่อเงินตราทั่วโลกจะเสื่อมมูลค่าลง
และก็ไม่แปลกใจเช่นกันที่เห็นราคาหุ้นในช่วง 2 เดือนที่ผ่านมา
ขึ้นระเบิดเถิดเทิงเช่นนั้น ระหว่างอัตราดอกเบี้ยที่ต่ำผิดปกติทั่วโลก
การคำนวณผลตอบแทนจากการลงทุนของนักลงทุนทั่วโลก
เป็นการเปรียบเทียบผลตอบแทนจากการลงทุนกับอัตราดอกเบี้ยในตลาด
ทำให้นักลงทุนยอมซื้อหุ้นที่มีค่า PE สูงขึ้น
ในยามที่ดอกเบี้ยต่ำติดดินเช่นนี้
ที่พูดมานี้ ไม่ได้หมายความว่าจะเชียร์ให้ซื้อทองคำนะครับ
เพราะแต่ไหนแต่ไร ผมมักจะแนะนำคนให้ซื้อทองคำไม่เกิน 10 เปอร์เซ็นต์ของสินทรัพย์ที่มี
เพราะว่าทองคำเป็นสินทรัพย์ที่ไม่มีผลตอบแทน ตราบใดที่ #ราคาทองคำ
ไม่ขึ้น คนที่ถือทองคำก็จะไม่ได้ประโยชน์อันใดเลย มิหนำซ้ำถ้าถือทองคำในรูปลักษณะที่เป็น
Physical ยังจะต้องมีค่าเก็บรักษาและค่าความเสี่ยงที่จะสูญหายเสียอีกด้วย
ปัจจุบันการที่จะเอาของมีค่าไปฝากตู้นิรภัยของธนาคาร
คุณจะต้องซื้อผลิตภัณฑ์ทางการเงินหรือฝากเงินกับธนาคารจำนวนหนึ่ง
คุณถึงจะมีสิทธิ์เปิดใช้บริการเช่าตู้นิรภัยของธนาคารได้
ซึ่งดอกเบี้ยเงินฝากประจำวันที่ 1 เปอร์เซ็นต์กว่าๆ
มันน้อยนิด แน่นอนถ้าคุณสามารถหาผลตอบแทนที่ได้ดีกว่านี้
ส่วนต่างของดอกเบี้ยเงินฝากกับผลตอบแทนจากการลงทุนในสินทรัพย์อื่นก็คือ
ต้นทุนในการถือครองทองคำของคุณนั่นเอง ซึ่งหลายๆคนไม่เคยนำเรื่องต้นทุนค่าเสียโอกาสมาคำนวณ
ส่วนสินทรัพย์ประเภทอื่นที่มีความเสี่ยงไม่มากนักก็คือ #อสังหาริมทรัพย์เพื่อการอยู่อาศัย ซึ่งจะได้รับผลกระทบจากวิกฤตครั้งนี้ไม่มากนัก โดยเฉพาะอสังหาเพื่อการอยู่อาศัยที่มีผลตอบแทนจากการเช่าแน่นอน และควรจะเลือกซื้ออันที่ได้ผลตอบแทนในระดับตั้งแต่ 4 เปอร์เซ็นต์ขึ้นไป ในขณะที่ #อสังหาสำหรับการพาณิชย์ หรือออฟฟิศ จะได้รับผลกระทบปานกลาง เนื่องจากความต้องการที่จะเช่าสถานที่ลดลงทั้งจำนวนรายและเนื้อที่ที่จะเปิดทำการค้าขายหรือเป็นสำนักงานน้อยลง อุปสงค์และอุปทานที่เปลี่ยนแปลงไปจะทำให้อัตราผลตอบแทนจากการลงทุนในอสังหาเพื่อการพาณิชย์และเพื่อสำนักงานลดลง #newnormal คือเหตุผลที่จะทำให้เกิดปรากฏการณ์เช่นนั้น
กิติชัย เตชะงามเลิศ
15/6/63
ถ้าท่านชอบบทความผม ท่านสามารถสมัครสมาชิกโดยกรอกอีเมลของท่าน ในช่องใต้ Follow by Email ทางด้านขวามือ เมื่อมีบทความใหม่ๆ ก็จะมีการส่งอีเมลแจ้งเตือนให้ท่านทราบ เพื่อจะได้ไม่พลาดบทความดีๆกันนะครับ
ติดตามสาระดีๆทั้งไลฟ์สไตล์และการลงทุนได้ที่
Facebook : https://www.facebook.com/VI.Kitichai
Twitter : http://twitter.com/value_talk
Instagram : https://www.instagram.com/gid_kitichai/
ไนท์บริดจ์
ไพร์ม สาทร DUPLEX ชั้น 31 วิวโค้งเจ้าพระยาและบางกระเจ้า แต่งสวย ถูกสุดใน 3 โลก เจ้าของขายและให้เช่าเอง
เดิน 8 นาทีจาก BTS ช่องนนทรี
#599/433(3117) Duplex
ชั้น 31 พื้นที่ใช้สอยรวม 37.3 ตรม. (25.77+11.53) วิวโค้งเจ้าพระยาและบางกระเจ้า
มี ผ้าม่าน 2 ชั้น เตาไฟฟ้า เครื่องดูดควัน
ตู้เย็น 8.4 Q เครื่องซักผ้าฝาหน้า Digital TV 40 นิ้ว
เครื่องทำน้ำอุ่น และ Microwave
ราคาเพียง 5.40 ล้านบาท หรือเช่า 24,000บาท
โปรโมชั่น: ฟรีค่าส่วนกลาง 1 ปี (ถึง มีค. 64) และเงินกองทุนคอนโด
รูปภาพและ
VDO
Review : http://thinkofliving.com/2016/09/15/knightsbridge-prime-%E0%B8%AA%E0%B8%B2%E0%B8%97%E0%B8%A3/
จำนวนชั้น 43 ชั้น แต่สูง 160 เมตรเท่ากับอาคารปกติประมาณ 50 ชั้น
ลักษณะห้องและขนาด Monoplex ชั้น 19-23 และ Duplex ชั้น 24-42
ที่จอดรถทั้งหมด 70% (คอนโดส่วนใหญ่ 30-40%
เท่านั้น) ชั้น G-P14 ที่ จอดรถ
พิกัด 13.716997, 100.533121
สถานที่สำคัญใกล้เคียง: บีทีเอสช่องนนทรี โรงแรมดับเบิ้ลยู เอ็มไพร์ทาวเวอร์
สิ่งอำนวยความสะดวก: ฟิตเนส สระว่ายน้ำชั้นดาดฟ้า
Rooftop
ลอยฟ้าสูง 160 เมตร
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น