เกิดอะไรขึ้นกับ Mister Market
เมื่อดู #ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ ที่ปิดที่
1,301.66 ซึ่งเป็นจุดสูงสุดของวัน(ภาพที่
1) ช่างน่าประหลาดใจจริงๆ เมื่อเดือนธันวาคมปีที่แล้ว(2562)
ตอนที่ยังไม่มีการระบาดของ #ไวรัสโควิด19
ดัชนีอยู่แถว 1,500 กว่าๆ
หลังจากนั้นก็มีการระบาดของไวรัสทั่วโลก ดัชนีจึงลงมาทำจุดต่ำสุดที่ 969.08
หรือลงมาคิดเป็นประมาณ 40% เมื่อวันที่ 13
มีนาคม 2563 หลังจากนั้นก็ไต่ระดับขึ้นมาเรื่อยๆ
จนล่าสุดเมื่อวันที่ 30 เมษายนปีนี้ปิดที่ 1,301.66 หรือขึ้นมา 34.32%ในเวลาเพียงประมาณเดือนครึ่ง
ซึ่งเมื่อเทียบกับดัชนีช่วงเดือนธันวาคมปี 2562 เท่ากับว่าลงมาเพียง
10 กว่าเปอร์เซ็นต์เท่านั้น
คล้ายกับตลาดจะบอกว่าวิกฤตไวรัสไม่ได้เป็นเรื่องใหญ่โตเลย แล้วจะมีการฟื้นคืนกลับมาในลักษณะวีเชพของเศรษฐกิจ
ภาพที่ 1 : ดัชนีตลาดหลักทรัพย์
ผมกำลังสงสัยว่าตลาดอาจจะมีความเชื่อแบบผิดๆ
การที่รัฐบาลทั่วโลกรวมทั้งประเทศไทยกำลังออกมาตรการเพื่อจะช่วยอุดหนุนคนในชาติและธุรกิจต่างๆ
คุณคิดว่าเงินที่ปั๊มออกมาจะช่วยได้สักกี่เดือน ถ้าสถานการณ์ไวรัสยังอันตรายอยู่
การจะเปิดระบบเศรษฐกิจให้กลับไปเหมือนเดิมโดยเร็ว ก็ไม่ใช่เรื่องง่าย
รัฐบาลต่างๆทั่วโลกก็มีหนี้สินต่อ GDP อยู่ในอัตราที่สูงอยู่แล้ว
ยิ่งถ้ามีการนำเงินอนาคตมาใช้เป็นจำนวนมาก
แน่นอนย่อมส่งผลกระทบต่อมูลค่าเงินที่แท้จริงของระบบการเงินทั้งโลก จึงไม่แปลกใจที่ทำไมราคาทองคำถึงขึ้นมามาก
และนักวิเคราะห์ยังทำนายว่ายังจะขึ้นไปได้อีกเกือบร้อยเปอร์เซ็นต์จากจุดนี้
ในเมื่อเงินตราทั่วโลกจะเสื่อมมูลค่าลง
ที่พูดมานี้ ไม่ได้หมายความว่าจะเชียร์ให้ซื้อทองคำนะครับ
เพราะแต่ไหนแต่ไร ผมมักจะแนะนำคนให้ซื้อทองคำไม่เกิน 10 เปอร์เซ็นต์ของสินทรัพย์ที่มี
เพราะว่าทองคำเป็นสินทรัพย์ที่ไม่มีผลตอบแทน ตราบใดที่ #ราคาทองคำ ไม่ขึ้น
คนที่ถือทองคำก็จะไม่ได้ประโยชน์อันใดเลย
มิหนำซ้ำถ้าถือทองคำในรูปลักษณะที่เป็น Physical ยังจะต้องมีค่าเก็บรักษาและค่าความเสี่ยงที่จะสูญหายเสียอีกด้วย ปัจจุบันการที่จะเอาของมีค่าไปฝากตู้นิรภัยของธนาคาร
คุณจะต้องซื้อผลิตภัณฑ์ทางการเงินหรือฝากเงินกับธนาคารจำนวนหนึ่ง
คุณถึงจะมีสิทธิ์เปิดใช้บริการเช่าตู้นิรภัยของธนาคารได้
ซึ่งดอกเบี้ยเงินฝากประจำวันที่ 1 เปอร์เซ็นต์กว่าๆ
มันน้อยนิด แน่นอนถ้าคุณสามารถหาผลตอบแทนที่ได้ดีกว่านี้
ส่วนต่างของดอกเบี้ยเงินฝากกับผลตอบแทนจากการลงทุนในสินทรัพย์อื่นก็คือ
ต้นทุนในการถือครองทองคำของคุณนั่นเอง ซึ่งหลายๆคนไม่เคยนำเรื่องต้นทุนค่าเสียโอกาสมาคำนวณ
การที่ผู้ติดเชื้อ #โควิด19 ในเมืองไทยเพิ่มขึ้นในอัตราที่ลดลง คือเพิ่มขึ้นเป็นตัวเลขหลักเดียวต่อวัน ส่วนหนึ่งเป็นเพราะเราล็อกดาวประเทศ แต่เมื่อทยอยปลดล็อคดาวน์ รวมทั้งอนุญาตให้มีคนต่างชาติหรือกระทั่งคนไทยที่มาจากต่างประเทศเข้ามาในประเทศได้ การระบาดรอบ 2 ก็มีความเป็นไปได้สูง ช่วงเกิดการระบาดของไข้หวัดสเปนเมื่อ 100 ปีที่แล้ว ปรากฏว่าการระบาดรอบที่ 2 ทำให้ผู้คนล้มตายไปมากกว่ารอบแรกเสียอีก การที่จะให้มีการกักตัว 14 วันหลังจากที่เข้ามาประเทศไทย ถามจริงเถอะ จะมีนักท่องเที่ยวคนไหนจะเข้ามาประเทศไทย ตราบใดที่ยังมีผู้ติดเชื้อบนโลกนี้เป็นหลักล้านคน และยังไม่มีวัคซีนที่จะป้องกันและรักษาได้ ซึ่ง #องค์การอนามัย #WHO ก็บอกแล้วว่า จะมีวัคซีนได้เร็วสุดก็คือปีหน้า อย่าลืมนะครับ กว่าจะผลิตวัคซีนเพื่อจะฉีดให้กับประชากรทั้งโลก ซึ่งปัจจุบันมีจำนวนเกือบ 7,800 ล้านคน ขั้นตอนการทดสอบและผลิต ย่อมต้องใช้เวลานาน
#Fauci บอกว่าไวรัส #โควิด19 น่าจะระบาดประมาณ 2 ปี ระหว่างนี้จะควบคุมไม่ได้ จนกว่าจะมีประชากร 2 ใน 3 ของโลกติดเชื้อแล้ว หรือเกิด Herd immunity การระบาดจะเกิดเป็นระลอก ที่น่ากลัวก็คือ สายพันธุ์ที่ยุโรปอเมริกาและเอเชียคนละสายพันธุ์กัน และคนที่เคยติดแล้วยังสามารถกลับมาติดเชื้อนี้ใหม่ได้อีก การคาดหวังเรื่องวัคซีนในระยะสั้น เป็นการเล็งผลเลิศเกินไป
ผมเชื่อว่ากว่าสถานการณ์ไวรัสจะสงบลง คงจะต้องใช้เวลาอีกอย่างเร็วสุดก็คือปลายปีนี้ แต่ผลกระทบจากสถานการณ์ไวรัสจะยังคงอยู่จนถึงปีหน้า การที่หลายคนเชื่อว่าความต้องการที่อัดอั้นในปีนี้จะไประเบิดในปีหน้า อาจจะเป็นความหวังในแง่ดีเกินไป เพราะว่าวิกฤตครั้งนี้จะทำให้ความมั่งคั่งของคนส่วนใหญ่บนโลกใบนี้ลดลง ทำให้การใช้จ่ายจะมีการระมัดระวังมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการซื้อสินค้าคงทนหรือการท่องเที่ยวและอื่นๆ คนส่วนใหญ่จะเลือกซื้อแต่สิ่งของที่จำเป็นเท่านั้น อะไรที่ยังพอใช้ได้ก็จะทนใช้ต่อไป
ผมเชื่อว่ากว่าสถานการณ์ไวรัสจะสงบลง คงจะต้องใช้เวลาอีกอย่างเร็วสุดก็คือปลายปีนี้ แต่ผลกระทบจากสถานการณ์ไวรัสจะยังคงอยู่จนถึงปีหน้า การที่หลายคนเชื่อว่าความต้องการที่อัดอั้นในปีนี้จะไประเบิดในปีหน้า อาจจะเป็นความหวังในแง่ดีเกินไป เพราะว่าวิกฤตครั้งนี้จะทำให้ความมั่งคั่งของคนส่วนใหญ่บนโลกใบนี้ลดลง ทำให้การใช้จ่ายจะมีการระมัดระวังมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการซื้อสินค้าคงทนหรือการท่องเที่ยวและอื่นๆ คนส่วนใหญ่จะเลือกซื้อแต่สิ่งของที่จำเป็นเท่านั้น อะไรที่ยังพอใช้ได้ก็จะทนใช้ต่อไป
การเดินทางของคนทั้งโลกจะไม่เหมือนเดิมอีกต่อไปตราบใดที่ยังไม่มีวัคซีนที่จะป้องกันและรักษาไวรัสตัวนี้ได้
เครื่องบินหรือพาหนะที่ใช้เคลื่อนย้ายและขนส่งคน จะมีการใช้ capacity ลดลงอย่างน้อยครึ่งหนึ่ง เพราะว่าจะต้องมีการจัดการเกี่ยวกับ physical
Distancing ยังไม่นับอุปสงค์ที่จะลดลงจากการที่จะเดินทางเท่าที่จำเป็นเท่านั้น
ระบบการใช้การประชุมออนไลน์ในปัจจุบันก็มีเครื่องไม้เครื่องมือที่อำนวยความสะดวกมากมาย
รวมทั้งการเดินทางเพื่อสันทนาการจะลดลงเป็นอย่างมาก ลองถามตัวเองสิครับว่า
จะให้นั่งรถทัวร์หรือขึ้นเครื่องบินนานๆ แล้วมีคนนั่งติดอยู่กับคุณทั้งด้านหน้า
ด้านหลัง ด้านซ้าย ด้านขวา ขอให้คุณใส่หน้ากากอนามัยด้วย คุณจะรู้สึกอย่างไรในสถานการณ์แบบนี้ ผมจึงไม่แปลกใจว่าทำไม #วอร์เรนบัฟเฟตต์ ถึงขายทิ้ง #หุ้นกลุ่มสายการบิน ในพอร์ตออกไปทั้งหมด เพราะว่าจะมีหลายบริษัทในกลุ่มนี้เจ๋งไปในที่สุด ถึงแม้ว่าจะมีบริษัทที่รอดก็ตาม แต่เมื่อหลังจากการระบาด #โควิด19 ลดลง ความที่ธุรกิจนี้มี Barrier of Entry ต่ำ ดังนั้นใครที่มีเงินก็สามารถที่จะเปิดบริษัทสายการบินใหม่ จึงเป็นธุรกิจที่ไม่น่าสนใจในการลงทุน
ธุรกิจที่จะล้มหายตายจากไปก่อนก็คือธุรกิจที่เกี่ยวกับการท่องเที่ยว โดยเฉพาะสายการบินและโรงแรม ขนาดที่ว่าในช่วงภาวะปกติ #การบินไทย ก็จะเจ๊งมิเจ๊งแหล่อยู่แล้ว ยิ่งมาเจอสถานการณ์แบบนี้ ถ้าไม่ใช่ธุรกิจที่รัฐบาลอุ้มชู ก็ต้องเจ๊งแน่นอน คิดดูสิครับ ถ้าไวรัสยังระบาดแบบนี้ Physical distancing จะทำให้เครื่องบินแต่ละลำ รับผู้โดยสารได้ลดลงไม่น้อยกว่าครึ่งหนึ่ง ถึงแม้ว่าราคาน้ำมันจะลดลง แต่ต้นทุนอื่นๆไม่ได้ลดลงตาม ในขณะที่รายได้หายไปไม่ต่ำกว่า 50% เผลอๆน่าจะต่ำกว่า 70% เสียด้วยซ้ำ เพราะว่าคนส่วนใหญ่ก็ยังขยาดที่จะต้องนั่งอยู่บนเครื่องบินที่มีพื้นที่จำกัดและการระบายอากาศก็ไม่ดี ไม่เข้าใจว่าทำไมรัฐบาลจะต้องไปอุ้มชูธุรกิจที่อ่อนแอปวกเปียกแบบนี้ หรือว่ามีผลประโยชน์ค้ำคอกันอยู่ พี่จะแจกเงินช่วยเหลือประชาชน #เราไม่ทิ้งกัน 5,000 บาท กลับแจกยากแจกเย็นขนาดนั้น
ร้านอาหารภัตตาคารก็เป็นอีกกลุ่มธุรกิจนึงที่จะได้รับผลกระทบอย่างสูง โดยเฉพาะจิ้มจุ่มและชาบู รวมทั้งไลน์บุฟเฟ่ ถ้าสถานการณ์ระบาดยังคงดำเนินต่อ นอกจากจะทำให้ผู้คนไม่กล้าที่จะเข้าไปนั่งทานในร้านแล้ว ที่ร้านเองก็ยังต้องจัดที่นั่งให้ผู้ที่เข้ามารับประทานอาหารนั่งห่างกัน ยังไม่นับรวมถึงการทำความสะอาดหลังจากที่ลูกค้าออกจากร้านไปอีก น่าจะทำให้รายได้ลดลงไม่ต่ำกว่าครึ่งหนึ่ง ถ้าไปขึ้นราคาอาหาร ก็จะทำให้ปริมาณลูกค้าลดลง ในขณะที่ต้นทุนเพิ่มขึ้น การที่รัฐอนุญาตให้เปิดร้านอาหารอีกครั้ง ก็ไม่แน่ว่าจะทำให้ธุรกิจจะอยู่รอดได้หรือไม่ ธุรกิจที่มีสายป่านสั้นคงไม่น่าจะรอด การลดจำนวนพนักงานและการเพิ่มช่องทางขายออนไลน์ คงจะเป็นทางเลือกที่พอจะมีอยู่อันน้อยนิด ในสถานการณ์แบบนี้ร้านค้าอยู่ไม่ได้ บรรดาเจ้าของห้างก็น่าจะเหนื่อย เพราะว่าค่าเช่าที่เคยเรียกเก็บได้คงจะต้องลดลง ถ้าไม่ลดค่าเช่าร้านค้าก็อยู่ไม่ได้เช่นกัน ทั้งหลายทั้งปวงก็จะส่งผลกระทบให้กับการจ้างงานไปด้วย
สิ่งที่น่ากลัวที่สุดก็คือเราแทบจะไม่มีธุรกิจอะไรที่จะตอบรับกับ New Normal ได้เลย ไม่เหมือนกับที่เมืองจีนมี #Alibaba #Tencent #WeChat #Huawei หรือที่เมกามีหุ้นกลุ่ม #FAANG : #Facebook #Amazon #Apple #Netflix # Alphabet (Google) #AirBNB กระทั่ง #Grab ของมาเลเซียหรือ #Get ของอินโดนีเซีย(โกเจ็ก) โลกหลังจากนี้จะไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป คนที่ไม่ยอมปรับตัวหรือปรับตัวไม่ได้ หรือผู้ที่เลือกที่จะอยู่ใน Comfort Zone จะถูกละทิ้งไว้อยู่ที่เบื้องหลัง ที่น่าเป็นห่วงก็คือคนไทยส่วนใหญ่จะเป็นคนกลุ่มนี้ ส่วนผู้ที่รอดคือผู้ที่ยอมปรับตัวหรือปรับตัวได้เท่านั้น เป็นไปตาม #ทฤษฎีชาร์ลดาร์วิน
โดยเฉพาะเศรษฐกิจไทยพึ่งพาอุตสาหกรรมที่เกี่ยวกับการท่องเที่ยวและการส่งออกเป็นอย่างมาก เรามีธุรกิจหรืออุตสาหกรรมที่จะมารองรับ New Normal น้อยมาก ผมเชื่อว่าตลาดที่ขึ้นมารอบนี้น่าจะเป็น #BearMarketRallyTrap นรกขุมอเวจียังมาไม่ถึงครับ การฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยจะแย่และช้ากว่าโดยเฉลี่ยของทั้งโลกครับ ผมเชื่อว่ากำไรของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ปีนี้คงจะอยู่ที่ประมาณ 60 ถึง 65 บาทและปีหน้าคงจะอยู่ที่ราวๆ 75-80 บาทดังนั้น PE ตลาดของปีนี้ปัจจุบันซื้อขายกันที่ประมาณ 20 เท่าและคิดเป็น 16 เท่ากว่าๆสำหรับ PE ของตลาดในปีหน้า ซึ่งนับว่าไม่ถูกเลย เมื่อเทียบกับความเสี่ยงของความไม่แน่นอน ดูเหมือนว่านักลงทุนไทยจะมี Risk Appetite มากขึ้น สำหรับผมคิดว่า Risk vs Reward ณปัจจุบันนี้ไม่คุ้มค่าเลย
ภาพนี้เป็นภาพที่ผมกลัวมากที่สุด เพราะถ้าเป็นไปตามในรูปนี้จริงๆ แสดงว่า #นรกยังมาไม่ถึง #MAYDAYMAYDYเราช่วยกัน Photo credit, Jean Paul Rodrigue Dept.
ส่วนสินทรัพย์ประเภทอื่นที่มีความเสี่ยงไม่มากนักก็คือ #อสังหาริมทรัพย์เพื่อการอยู่อาศัย
ซึ่งจะได้รับผลกระทบจากวิกฤตครั้งนี้ไม่มากนัก
โดยเฉพาะอสังหาเพื่อการอยู่อาศัยที่มีผลตอบแทนจากการเช่าแน่นอน และควรจะเลือกซื้ออันที่ได้ผลตอบแทนในระดับตั้งแต่ 4 เปอร์เซ็นต์ขึ้นไป ในขณะที่ #อสังหาสำหรับการพาณิชย์
หรือออฟฟิศ จะได้รับผลกระทบปานกลาง
เนื่องจากความต้องการที่จะเช่าสถานที่ลดลงทั้งจำนวนรายและเนื้อที่ที่จะเปิดทำการค้าขายหรือเป็นสำนักงานน้อยลง
อุปสงค์และอุปทานที่เปลี่ยนแปลงไปจะทำให้อัตราผลตอบแทนจากการลงทุนในอสังหาเพื่อการพาณิชย์และเพื่อสำนักงานลดลง
#newnormal คือเหตุผลที่จะทำให้เกิดปรากฏการณ์เช่นนั้น
กิติชัย เตชะงามเลิศ
ถ้าท่านชอบบทความผม ท่านสามารถสมัครสมาชิกโดยกรอกอีเมลของท่าน ในช่องใต้ Follow by Email ทางด้านขวามือ เมื่อมีบทความใหม่ๆ ก็จะมีการส่งอีเมลแจ้งเตือนให้ท่านทราบ เพื่อจะได้ไม่พลาดบทความดีๆกันนะครับ
ติดตามสาระดีๆทั้งไลฟ์สไตล์และการลงทุนได้ที่
Facebook : https://www.facebook.com/VI.Kitichai
Twitter : http://twitter.com/value_talk
Instagram : https://www.instagram.com/gid_kitichai/
You Tube : http://www.youtube.com/c/KitichaiTaechangamlert
15 สุขุมวิท เรสซิเดนซ์ 3 ยูนิต ชั้น 2X แต่งสวย วิวสุดยอด ขายและให้เช่า ขายพร้อมผู้เช่า
ผลตอบแทนจากการเช่าดีมาก = 5.57%/ปี
ห้องที่จะขายและให้เช่า
1. ห้อง 2 นอน 2 น้ำ ชั้น 20, 80.71 ตารางเมตร เป็นมุมที่สวยที่สุดของตึก ตกแต่งสวยมาก วิวสวยมาก
เฟอร์นิเจอร์และเครื่องใช้ไฟฟ้าครบครัน ตกแต่งสวยมาก มี ผ้าม่าน เตาไฟฟ้า
เครื่องดูดควัน แอร์ - ตัว ตู้เย็น 7.9 คิว เครื่องซักผ้าฝาหน้า Digital TV 40 และ 32 นิ้ว
เครื่องทำน้ำร้อน และ Microwave ไม่ติดลิฟท์และห้องขยะ ราคา
9.2 ล้านบาท ค่าเช่า 39,000 บาท/เดือน
สามารถดาวน์โหลดรูปภาพและวีดีโอห้อง
12/413(2017) ได้ที่
ห้องที่จะขายพร้อมผู้เช่า
2. ห้อง 1 นอน 1 น้ำ ชั้น 24, 59.29
ตารางเมตร ตกแต่งสวยมาก เฟอร์นิเจอร์และเครื่องใช้ไฟฟ้าครบครัน มี ผ้าม่าน เตาไฟฟ้า เครื่องดูดควัน แอร์ 2 ตัว
ตู้เย็น 7.9 คิว เครื่องซักผ้าฝาหน้า Digital TV 43 นิ้ว และ Android TV 40 นิ้ว เครื่องทำน้ำร้อน และ Microwave เป็นมุมที่สวยของตึก
ไม่ติดลิฟท์และห้องขยะ ราคา 6.9 ล้านบาท ค่าเช่า 30,000
บาท/เดือน ผลตอบแทนจากการเช่า = 5.22%
สามารถดาวน์โหลดรูปภาพห้อง 12/478(2405) ได้ที่
3. แบบ B2 ห้อง 1 นอน 1 น้ำ ชั้น 20, 59.29 ตารางเมตร
ห้องหันไปทิศใต้ ตกแต่งสวยมาก วิวสวยมาก เฟอร์นิเจอร์และเครื่องใช้ไฟฟ้าครบครัน มี
ผ้าม่าน เตาไฟฟ้า เครื่องดูดควัน แอร์ 2 ตัว ตู้เย็น 7.9 คิว เครื่องซักผ้าฝาหน้า Digital TV 40 นิ้ว และ Android TV 40 นิ้ว เครื่องทำน้ำร้อน และ Microwave เป็นมุมที่สวยของตึก
ไม่ติดลิฟท์และห้องขยะ ขายพร้อมผู้เช่า ราคา 6.9 ล้านบาท ค่าเช่า 32,000 บาท/เดือน ครบสัญญา 21/8/63 ผลตอบแทนจากการเช่า = 5.57%
สามารถดาวน์โหลดรูปภาพและวีดีโอห้อง 12/400(2003) ได้ที่
สามารถดาวน์โหลดรูปภาพและวีดีโอของ 15 สุขุมวิท เรสซิเดนซ์ ทั้งหมดได้ที่ https://www.dropbox.com/sh/a4v6us2c38eptej/AACG1eg2B-xUE5Sl4sTAjrYla?dl=0
ซอยสุขุมวิท
13-15 คลองเตยเหนือ วัฒนา ห่างจาก bts นานา
ประมาณ 600 เมตร
และห่างจาก bts อโศก ประมาณ 500 เมตร
เป็นอาคารสูง
25 ชั้น รวมทั้งหมด 514 ยูนิต พิกัด 13.741981, 100.558231
·
ค่าส่วนกลางและกองทุน
40 บาท/ตร.ม.และ 500
บาท/ตร.ม. ตามลำดับ
* คลับเฮ้าส์ (Clubhouse) และห้องสมุด อยู่ชั้น 7
* ฟิตเนส (Fitness) อยู่ชั้น 8
* สระว่่ายน้ำผู้ใหญ่ (เป็นแบบสระน้ำล้น), มีสระเด็กและจากุซซี่แยกออกมาจากสระผู้ใหญ่ อยู่ชั้น 9
* สระน้ำ ในแบบ water court และน้ำตกเล็กๆ
* Video door phone เพื่อความปลอดภัย
ส่วนพื้นที่จอดรถในโครงการมีประมาณ 70% รวมจอดซ้อน เริ่มตั้งแต่ชั้น 3 – 6 รวม 4 ชั้น
พื้นที่พักอาศัยเริ่มตั้งแต่ชั้น 7 เป็นต้นไปถึงชั้น 25
ลูกบ้านที่นี่จะได้สิทธิ์ที่จอดรถ 1 คันต่อการซื้อ
1 ห้อง เป็นการจอดแบบไม่ระบุที่จอด ยกเว้น 2 ห้องนอน 2 ห้องน้ำ
เป็นต้นไปที่จะได้สิทธิ์จอดรถแบบระบุบ้านเลขที่ให้ สามารถเข้าออกโครงการได้ทั้ง 2
ด้าน ทั้งซอย 13 และ15
ร้านค้าในบริเวณรอบๆคอนโด:
- ท็อปส์มาร์เก็ต (โรบินสันสุขุมวิท 19)
ห่างจากคอนโด 580 เมตร
- วิลล่ามาร์เก็ต (แอมบาสซาเดอร์) – 190 เมตร
- สุขุมวิทพลาซ่า – 600 เมตร
- แอมพลาซ่า – 230 เมตร
- เดอะแลนด์มาร์คพลาซ่า – 760 เมตร
- 7-11
– 10 เมตร
โรงเรียนและโรงพยาบาล
ที่ใกล้ที่สุดในบริเวณ 15 สุขุมวิท เรสซิเด็นท์ :
- เฮลท์แลนด์นวดแผนไทย ระยะทางประมาณ 410 เมตร
เดินทาง
- โรงเรียนนานาชาตินิสท์ – 650 เมตร
- โรงเรียนนานาชาติเซนต์สตีเฟน – 660 เมตร
- โรงเรียนเซนต์ดอมินิก – 840 เมตร
- เทควันโด – 840 เมตร
- โรงพยาบาลมหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง
680 เมตร
- โรงพยาบาลบำรุงราษฏร์ 990 เมตร
บริเวณใกล้เคียงคอนโดมีร้านอาหาร มากมาย เช่น:
- โวล่า – 180 เมตร
- แล๊พพาร์ท – 200 เมตร
- โดซ่าคิงส์ – 480 เมตร
- คาตาลาน่า ทาปาสแอนด์ไวน์ – 500 เมตร
- ชาร์เล่ย์บราวส์ – 520 เมตร
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น