ผู้บริหารกับช่วงหุ้นตก
นักลงทุนที่ลงทุนในตลาดหุ้นมาตั้งแต่ต้นปี
คงประสบผลขาดทุนจากการลงทุนกันถ้วนหน้า
เนื่องจากดัชนีตลาดหลักทรัพย์ได้ลงจากจุดสูงสุดของปีนี้ที่ 1,852.51 เมื่อวันที่ 27 กุมภาพันธ์ ลงมาทำจุดต่ำสุดที่ 1,584.68 เมื่อวันที่ 29 มิถุนายน(รูปภาพที่ 4) ลงมา 267.83 จุดคิดเป็น
14.46% ยิ่งถ้าถือหุ้นผิดตัว
โดยเฉพาะหุ้นที่ลงมามากๆ ก็คงจะขาดทุนในอัตราส่วนที่มากกว่านี้ การลงมาของตลาดครั้งนี้เกิดจากการที่สหรัฐอเมริกาเริ่มลดการผ่อนคลายทางการเงิน(QE) ประกอบกับสงครามการค้าระหว่างประเทศสหรัฐอเมริกากับประเทศคู่ค้าทั้งหลายไม่ว่าจะเป็น
จีน EU แคนาดา เม็กซิโก ฯลฯ
โดยเฉพาะกรณีกับประเทศจีน ได้สร้างความหวาดวิตกให้กับนักลงทุนทั่วโลก
กลัวว่าจะเป็นชนวนที่ทำให้เกิดภาวะเศรษฐกิจตกต่ำทั่วโลกเหมือนกับที่เคยเกิดขึ้นในอดีต ภาวะตลาดหุ้นทั่วโลกจึงได้มีการปรับตัวลงพอสมควร
โดยเฉพาะตลาดในประเทศเกิดใหม่
ในช่วงที่ผ่านมานี้
ถ้าดูข้อมูลแบบรายงานการเปลี่ยนแปลงการถือหลักทรัพย์ของผู้บริหาร (แบบ 59-2) ซึ่งนักลงทุนสามารถจะดูรายงานดังกล่าวได้จากเว็บไซต์ของกลต
http://capital.sec.or.th/webapp/corp_fin2/daily59.php
จะพบว่าผู้บริหารของบริษัทจดทะเบียนหลายๆบริษัท
ได้เข้ามาซื้อหุ้นของตัวเองเป็นจำนวนมาก
คงเพราะรู้สึกว่าราคาหุ้นของตัวเองถูกเกินไปแล้ว
มีทั้งนานๆซื้อทีและซื้อค่อนข้างบ่อย ด้วยเม็ดเงินที่มากบ้างน้อยบ้าง
แล้วแต่ผู้บริหารแต่ละท่านของบริษัทนั้นๆ แต่ก็มีหลายครั้งที่ผมสังเกตเห็นว่า
ถึงแม้ผู้บริหารจะเข้ามาซื้อหุ้นของตัวเองก็ตาม
แต่หลังจากนั้นก็ยังมีหุ้นบางตัวที่ถูกซื้อไป
ยังมีราคาตกลงมาต่ำกว่าที่ผู้บริหารซื้ออยู่หลายบริษัททีเดียว
การเข้าซื้อหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ของผู้บริหาร
มีผลกระทบต่อแนวโน้มของราคาหุ้นในช่วงนั้นๆมากบ้างน้อยบ้าง
ขึ้นอยู่กับปริมาณเม็ดเงินที่ผู้บริหารเข้ามาซื้อ
ถ้าเป็นปริมาณเงินที่มากก็จะมีผลกับแนวโน้มของราคาบ้าง ขณะที่ปริมาณเงินที่น้อยก็แทบจะไม่มีผลกับแนวโน้มของราคาเลย
แต่อย่างไรก็ตามการเข้าซื้อหุ้นของผู้บริหาร ส่งผลกระทบต่อราคาหุ้นค่อนข้างน้อย
เมื่อเทียบกับเป็นการซื้อหุ้นคืนของบริษัทจดทะเบียนเหล่านั้น เพราะปริมาณเงินที่เข้าซื้อจะเป็นปริมาณที่มากกว่า
และเข้าซื้อต่อเนื่องในช่วงเวลาที่นานกว่า หรือที่เราเรียกว่า Treasury
Stock
ถือว่าเป็นส่วนหนึ่งของการบริหารจัดการเงินทุนของบริษัท
ส่วนมากจะเกิดขึ้นตอนที่ราคาหุ้นของบริษัทนั้นๆ ตกลงมามากในช่วงระยะเวลาหนึ่ง
และบริษัทเหล่านั้นมีเงินสดหรือสภาพคล่องของกิจการที่มากพอ โดยคุณสมบัติเบื้องต้นของบริษัทที่จะทำโครงการ
Treasury Stock มีดังนี้
1.มีกำไรสะสม
โดยโครงการซื้อหุ้นคืนทำได้ไม่เกินวงเงินกำไรสะสม และต้องกันกำไรสะสมไว้เป็นเงินสำรองท่ากับจำนวนเงินที่ได้จ่ายซื้อหุ้นคืนจนกว่าจะได้จำหน่ายหุ้นที่ซื้อคืนได้หมด
2.
มีสภาพคล่องส่วนเกิน พิจารณาจากความสามารถในการชำระหนี้ภายใน 6 เดือนข้างหน้าว่าถ้านำเงินมาซื้อหุ้นคืนแล้ว จะไม่กระทบกับการชำระหนี้ของบริษัท
3. ไม่ทำให้สัดส่วนผู้ถือหุ้นรายย่อย (Free Float) ต่ำกว่าข้อกำหนดของตลาดหลักทรัพย์ฯ
บริษัทต้องดำรงสัดส่วนของผู้ถือหุ้นรายย่อย ไม่น้อยกว่า 15%
ของทุนชำระแล้ว และมีจำนวนไม่น้อยกว่า 150 ราย
หลังจากเสร็จสิ้นกระบวนการซื้อหุ้นคืนแล้วบริษัทมีทางเลือกที่จะจัดการหุ้นที่ซื้อคืนกลับมาโดย
1.ขายบนกระดานหลัก (Main Board) โดยราคาที่ขายต้องไม่ต่ำกว่า 85% ของราคาปิดของหุ้นเฉลี่ย 5
วันทำการซื้อขายก่อนหน้า
2.เสนอขายเป็นการทั่วไป (Public Offering: PO) ในกรณีนี้
บริษัทต้องขออนุญาตเสนอขายหุ้นต่อประชาชนกับสำนักงาน ก.ล.ต.
ในอดีตมีหลายบริษัทที่ทำ Treasury stock แล้ว
นำหุ้นดังกล่าวมาลดทุนจดทะเบียน ซึ่งส่งผลให้กำไรต่อหุ้นและ ROE สูงขึ้น เพราะว่าปริมาณหุ้นจดทะเบียนที่ชำระแล้ว และส่วนของทุนตามลำดับ ที่นำมาเป็นตัวหาร
ก็จะมีปริมาณลดลงหลังจากหักหุ้นที่ซื้อคืน และก็มีหลายบริษัทที่ได้นำหุ้นที่ซื้อคืนกลับมา
แล้วนำมาขายในตลาดหลักทรัพย์ ซึ่งก็จะทำให้มีผลกำไรเกิดขึ้น
ซึ่งส่งผลให้กำไรต่อหุ้นในปีดังกล่าวสูงขึ้นด้วย และถ้าบริษัทยังคงนโยบายที่จะจ่ายปันผลด้วย
payout ratio เท่าเดิม
นั่นหมายความว่าผู้ถือหุ้นของบริษัทนั้นๆ ในอนาคตจะได้รับเงินปันผลที่มากขึ้น แต่ในทางกลับกันถ้าซื้อหุ้นกลับคืนมาแล้ว
แต่ราคาหุ้นยังลดลงไปอีก
ส่วนใหญ่บริษัทเหล่านั้นก็จะใช้วิธีนำหุ้นดังกล่าวมาลดทุนจดทะเบียน
นอกจากการทำ Treasury stock แล้ว
ยังมีอีกวิธีหนึ่งที่จะส่งผลกระทบต่อราคาหุ้น
นั่นคือการประกาศจ่ายเงินปันผลพิเศษในอัตราที่ค่อนข้างมาก ซึ่งถือว่าเป็นการเซอร์ไพรส์ตลาดเช่นกัน ทำให้นักลงทุนเพิ่มความสนใจที่จะลงทุนในหุ้นของบริษัทนั้นๆ
หลายครั้งที่ส่งผลให้ราคาขึ้นไปมากกว่าจำนวนเงินปันผลเสียด้วยซ้ำ ช่วงนี้มีหุ้นของหลายบริษัทที่ราคาตกลงมาอย่างรุนแรง
ผมคาดหวังว่าผู้บริหารของบริษัทเหล่านั้น จะได้นำเรื่องเหล่านี้ไว้ในการพิจารณา
เพื่อช่วยให้ราคาหุ้นอยู่ในช่วงราคาที่เหมาะสม และลดผลขาดทุนของนักลงทุนรายย่อยไปในตัวด้วย
กิติชัย เตชะงามเลิศ
23/7/61
ถ้าท่านชอบบทความผม ท่านสามารถสมัครสมาชิกโดยกรอกอีเมลของท่าน ในช่องใต้ Follow by Email ทางด้านขวามือ เมื่อมีบทความใหม่ๆ ก็จะมีการส่งอีเมลแจ้งเตือนให้ท่านทราบ เพื่อจะได้ไม่พลาดบทความดีๆกันนะครับ
ติดตามสาระดีๆทั้งไลฟ์สไตล์และการลงทุนได้ที่
Facebook : https://www.facebook.com/VI.Kitichai
Twitter : http://twitter.com/value_talk
Instagram : Gid_Kitichai
Blog : http://kitichai1.blogspot.com
You Tube : http://www.youtube.com/c/KitichaiTaechangamlert
Twitter : http://twitter.com/value_talk
Instagram : Gid_Kitichai
Blog : http://kitichai1.blogspot.com
You Tube : http://www.youtube.com/c/KitichaiTaechangamlert
หรือ 1.หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์ทุกวันพุธหน้า B6 ในคอลัมน์ "เขียนอย่างที่คิด"
2.วารสารเภตรา ของสมาคมศิษย์เก่าคณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี และ จุลสารเตชะสาร ของสมาคมเตชะสัมพันธ์ ทุกไตรมาส
TC Green พระราม 9 ยูนิตที่สวยที่สุด
ทั้งวิวสวนและการตกแต่ง ขายและให้เช่า
ห้องที่จะขายพร้อมผู้เช่า 1 นอน 1 น้ำ 37.97 ตารางเมตร
ฝ้าเพดานสูง 2.7 เมตร ไม่ติดลิฟท์
เป็นมุมที่สวยที่สุดของตึก D วิวสวนและคลองสวยมาก ไม่โดนบล็อควิว
เฟอร์นิเจอร์และเครื่องใช้ไฟฟ้าครบครัน ตกแต่งสวยมาก มี ผ้าม่าน 2 ชั้น เตาไฟฟ้า
เครื่องดูดควัน แอร์ 2 ตัว ตู้เย็น เครื่องซักผ้าฝาหน้า Digital
TV 40 นิ้ว เครื่องทำน้ำร้อน และ Microwave ไม่ติดลิฟท์และห้องขยะ
ราคา 3,400,000 บาท และให้เช่า ค่าเช่า
17,000 บาท/เดือน
TC Green Condo Rama 9, the best view &
decorated unit, sell & rent.
1B 1B, 37.97
sqm., Balcony facing south, fully Furnished, with 2 layers’ curtain, 40 inches Digital TV, Refrigerator, Washing machine,
Water heater & Microwave, Floor to ceiling 2.70 m., The best view unit, only 3.40 million baht or rent @ 17,000 baht/month. Watch VDO
@ https://youtu.be/qxddWbHMyMo
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น