รัฐควรช่วยคนจนที่ขยัน(ตอนที่ 3)
บทความ 2 ตอนที่แล้ว
คงทำให้ผู้อ่านได้เห็นความบกพร่องของระบบการศึกษาของประเทศไทย
ซึ่งผลิตแรงงานออกมาไม่ตรงกับสาขาวิชาที่ตลาดแรงงานที่ต้องการ
รวมทั้งไม่มีการสอนเกี่ยวกับเรื่องวินัยการออมเงินและการจัดการเงินออมที่ดีให้กับเยาวชนของชาติตั้งแต่ชั้นมัธยมต้นซึ่งทำให้เราเห็นว่าคนไทยเราเป็นชาติที่มีหนี้ครัวเรือนสูงใน
2 อันดับแรกของอาเซียน
และหนี้ครัวเรือนเหล่านี้ส่วนใหญ่เป็นหนี้ที่ใช้ไปกับการอุปโภคบริโภค
มีทั้งการกู้ในระบบและนอกระบบ ซึ่งอัตราดอกเบี้ยเงินกู้สูงมา
กยิ่งทำให้ภาระหนี้พอกพูน การเกิดภาวะหนี้สินล้นพ้นตัวในที่สุด ซึ่งในบทความตอนที่
2 ผมได้จนถึงเรื่องระบบภาษีแบบ Negative Income Tax ซึ่งน่าจะมาช่วยแก้ปัญหาความยากจน
และลดความเหลื่อมล้ำของสังคมไทยได้เป็นอย่างดี
ในช่วงหลายสิบปีที่ผ่านมา
เรามีรัฐบาลหลายคณะไม่ว่าจะเป็นรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง
หรือรัฐบาลที่มาจากการรัฐประหาร ก็ไม่วายที่จะต้องใช้นโยบายประชานิยม
เพื่อช่วยสร้างคะแนนนิยมให้กับรัฐบาลของตน
เท่าที่ผมจำได้อย่างเช่นเรื่อง เงินผันของรัฐบาลท่านคึกฤทธิ์ปราโมช ใน พ.ศ.
2518 รัฐบาลตั้งเป้าหมายให้ธนาคารพาณิชย์และสถาบันการเงินต่าง ๆ
ทำการผันเงินจากส่วนกลางคือกรุงเทพมหานครออกสู่ต่างจังหวัด เพื่อปล่อยสินเชื่อเพื่อการเกษตรในต่างจังหวัดปีละไม่ต่ำกว่า
4,000 ล้านบาท
และจัดสรรงบประมาณเพื่อพัฒนาชนบทหรือการผันงบประมาณ
เป็นการใช้มาตรการทางการคลังของรัฐบาล
โดยการจัดสรรงบประมาณแผ่นดินเพื่อพัฒนาตำบลทั่วประเทศ ยกเว้นเขตกรุงเทพมหานคร
ในวงเงินไม่เกิน 2,500 ล้านบาท
เพื่อที่จะช่วยประชาชนให้มีงานทำในฤดูแล้ง และช่วยยกระดับฐานะความเป็นอยู่ของประชาชนในชนบท
แต่ก็ประสบปัญหาคอรัปชั่นระหว่างทางมากมายต้นเงินตกหล่นไปถึงล่าสุดรที่ยากไร้น้อยมากและไม่ทั่วถึง
รัฐบาลยุคต่อๆมา ก็มีนโยบายประชานิยมที่แตกต่างกัน
อย่างเช่นรัฐบาลของคุณทักษิณ ชินวัตร ก็มีนโยบายโครงการบัตรทอง 30 บาทรักษาทุกโรค
นโยบายจำนำข้าว กองทุนหมู่บ้าน และกองทุนเอสเอ็มแอล เป็นต้น และนโยบายจำนำข้าว นโยบายกองทุนหมู่บ้าน
นโยบายค่าจ้างขั้นต่ำ 300 บาท และเงินเดือนปริญญาตรี 1.5 หมื่นบาท
ที่สร้างความปั่นป่วนให้วงการผู้ประกอบการไม่น้อยของรัฐบาลคุณยิ่งลักษณ์ ชินวัตร
เพราะว่าทำให้ต้นทุนทางด้านแรงงานสูงขึ้นทันที
ซึ่งส่งผลกระทบถึงความสามารถในการแข่งขันของสินค้าไทย
เมื่อเทียบกับประเทศคู่แข่งที่ไม่ได้เพิ่มค่าแรงขึ้นทีเดียวแบบพรวดพราด รวมทั้ง
นโยบายรถคันแรก ที่ทำให้อุตสาหกรรมรถยนต์ของประเทศไทยชะงักงันในเวลาต่อมา
ต่อเนื่องเป็นเวลาหลายปีเลยทีเดียว
โดยเฉพาะผู้ผลิตชิ้นส่วนรายเล็กๆที่เพิ่มกำลังการผลิตต้องประสบปัญหาขาดทุนหรือเลิกกิจการไปในที่สุด
และนโยบายประกันราคาข้าวของพรรคประชาธิปัตย์
ล้วนแล้วแต่ประสบปัญหาคอรัปชั่น เงินตกเบี้ยบ้ายรายทาง
ทำให้ประสิทธิผลของนโยบายบางอย่างที่ดีไม่ได้ดังหวัง
และต้องใช้เงินงบประมาณของประเทศเป็นจำนวนมาก
นโยบายประชานิยมของรัฐบาลปัจจุบัน โดยเลี่ยงบาลี
แทนที่จะใช้คำว่า"ประชานิยม"ก็ใช้คำว่า"ประชารัฐ"แทน อย่างเช่น
มาตรการกระตุ้นการท่องเที่ยว โครงการช็อปช่วยชาติ มาตรการนี้เป็นการช่วยประหยัดภาษีให้คนชนชั้นกลางและชั้นบน
โดยรัฐมุ่งหวังที่จะส่งผลให้เกิดการกระตุ้นเศรษฐกิจ เพื่อจะต่อยอด GDP ของประเทศ โครงการเพื่อสวัสดิการแห่งรัฐ โครงการบัตรคนจน
ซึ่งคนที่ไม่ได้จนจริงๆก็พลอยได้รับบัตรนี้ไปด้วย อย่างที่เห็นในโซเชียลมีเดีย
เป็นผู้หญิงที่ใส่สร้อยทองคำเส้นเบ้อเร่อ แล้วโชว์บัตรคนจนให้เห็น เป็นต้น
เป็นการตบหน้ารัฐอย่างร้ายแรง
แสดงให้เห็นถึงฐานข้อมูลของคนจนที่รัฐมีอยู่นี้เชื่อถือไม่ได้
ทำให้เป็นการผลาญงบประมาณของรัฐอย่างไร้ประสิทธิผลอย่างยิ่ง และการเติมเงินบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ
ช่วยค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าเช่าบ้าน เงินขวัญถุงปีใหม่ ค่าเดินทางผู้สูงอายุ
เพิ่มเงินข้าราชการบำนาญ ช่วยเกษตรกร กรอบวงเงินงบประมาณกว่า 80,000 ล้านบาท ซึ่งถูกอัดฉีดลงสู่รากหญ้าในช่วงสองเดือนสุดท้ายของปี ก่อนที่จะมีการเลือกตั้ง
ปัญหาเรื่องการคอรัปชั่นระหว่างทาง และปัญหาการช่วยคนด้อยโอกาสในสังคมให้ถูกคนจะหมดไป
ถ้าหันมาใช้ระบบภาษีแบบ Negative
Income Tax(NIT) หลายท่านอาจสงสัยว่า NIT คืออะไร
เราลองมาดูรายละเอียดกันครับ NIT เริ่มต้นมาจากหนังสือ
"Capitalism and Freedom"ของนักเศรษฐศาสตร์ชื่อดัง
Milton Friedman ที่ออกมาเมื่อปีค.ศ. 1962 ทำให้เป็น NIT เริ่มเป็นที่รู้จัก
และได้รับการยอมรับมากขึ้นเรื่อยๆ NIT เป็นระบบภาษีที่เหมาะสมมากกับประเทศที่มีความเหลื่อมล้ำทางสังคมค่อนข้างมาก
เพราะว่าจะช่วยทำให้คนที่ยากจน สามารถมีรายได้สูงขึ้นเพียงพอที่จะเลี้ยงดูตัวเองได้
และอาจจะกลายเป็นคนชั้นกลางได้ในอนาคต มาติดตามบทความหน้า
ผมจะเล่าถึงรายละเอียดและขั้นตอนของ NIT ว่าเป็นอย่างไรกันครับ
กิติชัย เตชะงามเลิศ
5/2/62
ถ้าท่านชอบบทความผม ท่านสามารถสมัครสมาชิกโดยกรอกอีเมลของท่าน ในช่องใต้ Follow by Email ทางด้านขวามือ เมื่อมีบทความใหม่ๆ ก็จะมีการส่งอีเมลแจ้งเตือนให้ท่านทราบ เพื่อจะได้ไม่พลาดบทความดีๆกันนะครับ
ติดตามสาระดีๆทั้งไลฟ์สไตล์และการลงทุนได้ที่
Facebook : https://www.facebook.com/VI.Kitichai
Twitter : http://twitter.com/value_talk
Instagram : Gid_Kitichai
Blog : http://kitichai1.blogspot.com
You Tube : http://www.youtube.com/c/KitichaiTaechangamlert
Twitter : http://twitter.com/value_talk
Instagram : Gid_Kitichai
Blog : http://kitichai1.blogspot.com
You Tube : http://www.youtube.com/c/KitichaiTaechangamlert
หรือ 1.หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์ทุกวันพุธหน้า B6 ในคอลัมน์ "เขียนอย่างที่คิด"
2.วารสารเภตรา ของสมาคมศิษย์เก่าคณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี และ จุลสารเตชะสาร ของสมาคมเตชะสัมพันธ์ ทุกไตรมาส
แอสปาย สาธร-ราชพฤกษ์ Aspire Sathorn-Rajpruek ขายดาวน์ 6 ยูนิตสุดสวย เพียง 2 ล้านบาทเท่านั้น 1 ก้าวจาก SKY
WALK รถไฟฟ้าบางหว้า และรถไฟฟ้า MRT (เป็นสถานี
INTERCHANGE)
ห้องที่จะขายดาวน์(คาดว่าจะแล้วเสร็จ
พย. 2561) ขนาด 26 ตรม. แบบ STUDIO
ห้องหันไปทางทิศใต้ รับลมตลอดทั้งปี ราคา 2,000,000 บาท
ปัจจุบันโครงการขายที่ราคาเริ่มต้น
2.99
ล้านบาทแล้วครับ
Review VDO @ https://youtu.be/Ry9tLa2NOt4
สามารถดาวน์โหลดรูปภาพและวีดีโอทั้งหมดของ
แอสปาย สาธร-ราชพฤกษ์ Aspire Sathorn-Rajpruek ได้ที่ https://www.dropbox.com/sh/4bocn8qjdrhpfdk/AABGsSAcZwp4zZGj4SUPeXQEa?dl=0
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น