รัฐควรช่วยคนจนที่ขยัน(ตอนจบ)
วันที่ 24 มีนาคมปีนี้ ประเทศไทยจะได้มีการเลือกตั้งอีกครั้งหลังจากที่ว่างเว้นมากันมานานมาก
และหวังเป็นอย่างยิ่งว่าคงจะไม่มีการเลื่อนการเลือกตั้งอีกต่อไป ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอันใดทั้งสิ้น
เมื่อเร็วๆนี้มีข่าวเกี่ยวกับเรื่องการที่พรรคการเมืองหลายพรรค ประกาศนโยบายออกมาว่าถ้าตนได้เป็นรัฐบาล
จะตัดงบทหารลง ทำให้เกิดวิวาทะ “หนักแผ่นดิน” ตามมา
ทุกๆปีรัฐบาลต้องตั้งงบประมาณที่ขาดดุลทุกครั้ง นั่นหมายถึงว่ารัฐบาลมีรายจ่ายมากกว่ารายรับ ดังนั้นสิ่งที่พอจะทำได้ก็คือ การจัดสรรเงินงบประมาณให้เหมาะสม อะไรที่ไม่จำเป็นก็ไม่ควรจะมี สิ่งใดที่ควร ที่จำเป็นต้องมีก็ต้องมี โดยเฉพาะงบประมาณเกี่ยวกับทางด้านการศึกษาและการสาธารณสุข เนื่องจากระดับการศึกษาของคนไทยเรา ยังน้อยหน้าประเทศเพื่อนบ้าน ไม่ว่าจะเป็นมาเลเซียหรือสิงคโปร์ หรือกระทั่งเวียดนามซึ่งคุณภาพการศึกษาที่ดีวันดีคืน คนเวียดนามเป็นชนชาติที่ขยันมาก ผมเคยไปเที่ยวเวียดนาม 2 ครั้ง ระหว่างที่ผมนั่งรถเดินทางระหว่างเมือง ผมไม่เคยเห็นคนเวียดนามแม้แต่คนเดียว ที่นั่งเฉยๆ หรือนั่งล้อมวงเล่นไพ่ ดื่มสุรา ซึ่งต่างกันมากเมื่อเทียบกับเวลาผมนั่งรถเดินทางไประหว่างเมืองในประเทศไทย ผมจะไม่แปลกใจเลยถ้า GDP ต่อหัว ของคนเวียดนามจะสูงกว่าของคนไทยในอีก 20 ปีข้างหน้า
ทุกๆปีรัฐบาลต้องตั้งงบประมาณที่ขาดดุลทุกครั้ง นั่นหมายถึงว่ารัฐบาลมีรายจ่ายมากกว่ารายรับ ดังนั้นสิ่งที่พอจะทำได้ก็คือ การจัดสรรเงินงบประมาณให้เหมาะสม อะไรที่ไม่จำเป็นก็ไม่ควรจะมี สิ่งใดที่ควร ที่จำเป็นต้องมีก็ต้องมี โดยเฉพาะงบประมาณเกี่ยวกับทางด้านการศึกษาและการสาธารณสุข เนื่องจากระดับการศึกษาของคนไทยเรา ยังน้อยหน้าประเทศเพื่อนบ้าน ไม่ว่าจะเป็นมาเลเซียหรือสิงคโปร์ หรือกระทั่งเวียดนามซึ่งคุณภาพการศึกษาที่ดีวันดีคืน คนเวียดนามเป็นชนชาติที่ขยันมาก ผมเคยไปเที่ยวเวียดนาม 2 ครั้ง ระหว่างที่ผมนั่งรถเดินทางระหว่างเมือง ผมไม่เคยเห็นคนเวียดนามแม้แต่คนเดียว ที่นั่งเฉยๆ หรือนั่งล้อมวงเล่นไพ่ ดื่มสุรา ซึ่งต่างกันมากเมื่อเทียบกับเวลาผมนั่งรถเดินทางไประหว่างเมืองในประเทศไทย ผมจะไม่แปลกใจเลยถ้า GDP ต่อหัว ของคนเวียดนามจะสูงกว่าของคนไทยในอีก 20 ปีข้างหน้า
สังคมไทยที่ตอนนี้ เป็นสังคม aging
society กันไปแล้ว และอีกภายในไม่ถึง 5 ปี
เราก็จะเป็นสังคม aging society แบบสมบูรณ์แบบ นั่นคือในคน 5
คน จะมีคนที่อายุเกิน 60 ปีหนึ่งคนเป็นอย่างน้อย
ย่อมส่งผลถึงงบประมาณที่ต้องจัดสรรให้ทางด้านสาธารณสุข คงจะต้องมากขึ้นมากขึ้นเรื่อยๆ
มีอีกเรื่องหนึ่งที่อยากจะให้รัฐช่วยดำเนินการก็คือ
เป็นเจ้ามือในการจัดตั้งธนาคารเวลา(ธนาคารเวลาคือการที่คนคนหนึ่งทำงานเป็นอาสาสมัคร
ช่วยดูแลผู้ป่วยหรือคนชรา
โดยนับเป็นจำนวนชั่วโมงที่ทำสะสมไปเรื่อยๆ เมื่อยามที่คนผู้นั้นแก่ตัวลง
ก็สามารถที่จะใช้จำนวนชั่วโมงทั้งหมดที่ทำงานเป็นอาสาสมัครสะสมมา แลกกับการขอรับบริการให้อาสาสมัครรายอื่น
มาช่วยดูแลตน)
ซึ่งโครงการนี้น่าจะเหมาะสมกับสังคมไทยในปัจจุบันและอนาคต เนื่องจากการที่เรามีผู้สูงอายุในสัดส่วนที่มากขึ้น
ในขณะที่สัดส่วนของคนรุ่นหนุ่มสาว กลับมีอัตราที่ถดถอย คนกลุ่มวัยกลางคนจะต้องรับภาระหนักคือ
ไหนจะต้องดูแลบุตรบุตรหลานของตัวเองแล้ว ก็ยังต้องดูแลบุพการีด้วย ดังนั้น
อาจจะมีเวลาให้กับทางบุพการีไม่มากเท่าที่ควร ทั้งยังอาจจะส่งผลให้ประสิทธิภาพในการทำงานงานด้อยลงด้วย
การที่มีธนาคารเวลาก็จะช่วยทำให้คนวัยทำงานเหล่านี้ เมื่อถึงเวลาที่ตนเองอายุมากขึ้น
มีความจำเป็นที่จะต้องใช้เวลาที่นำมาฝากไว้ เพื่อให้มีคนมาคอยดูแลตนเอง ในยามชราหรือเจ็บป่วย
เป็นต้น
นอกจากนั้น ถึงเวลาแล้วหรือยัง ที่รัฐบาลควรจะเปิดโอกาสให้ชาวต่างชาติ
ที่มีความรู้ความสามารถในด้านต่างๆ อาทิเช่น หมอพยาบาล นักวิทยาศาสตร์ ผู้พัฒนาแอพพลิเคชั่น
กลุ่ม Start Up และหรืออาชีพอื่นๆ ที่เป็นที่ต้องการของตลาดแรงงานชั้นสูง
ให้สามารถขอสัญชาติไทยเหมือนกับที่ประเทศที่เจริญแล้วอย่างเช่น สหรัฐอเมริกา
หรือแคนาดา ที่เคยมีโครงการเหล่านี้ออกมา
นอกจากจะช่วยเพิ่มฐานวัยแรงงานแล้ว ยังสามารถที่จะเพิ่มรายได้ประชาชาติได้อีกทางหนึ่ง
ชาวไร่ชาวนา ที่เราเคยสดุดีกันว่า
“หน้าสู้ดิน หลังสู้ฟ้า” ก็ย้งคงเป็นคนยากคนจน
เพราะนโยบายประชานิยมของรัฐบาลกี่ชุดที่ผ่านมา เป็นยาพิษดีๆนี่เอง ทำให้เขาเหล่านั้นทำตัวเหมือนเด็กที่ร้องไห้งอแง
ดิ้นลงกับพื้นหน้าร้านขายของเล่น ในยามที่ผู้ปกครองไม่ยอมซื้อของเล่นตามใจ ฉันใดก็ฉันนั้น
เป็นการทำให้พฤติกรรมของคนเหล่านี้เพี้ยนไป เมื่อรู้ว่าถ้าต้องการอะไรแล้วไม่ได้ ก็ใช้วิธีร้องไห้งอแง
หรือดิ้นลงกับพื้นเป็นต้น สังคมไทยต้องการเหตุการณ์เช่นนี้กันหรือครับ
คนจีนในยุคก่อนที่หอบเสื่อผืนหมอนใบ อพยพมาเมืองไทย ไม่มีความรู้ติดตัวมา รวมทั้งยังไม่สามารถพูดภาษาไทยได้ด้วย แต่ด้วยความพากเพียรอุตสาหะวิริยะ เขาเหล่านั้นก็ยังสามารถที่จะสร้างเนื้อสร้างตัวกันขึ้นมาได้ ทั้งๆที่ไม่ได้รับการช่วยเหลือจากทางภาครัฐเลยในสมัยนั้น จนหลายท่านกลายเป็นคหบดีใหญ่ มีกิจการมากมายในประเทศไทย ถ้าเป็นเช่นนั้นจริง ทำไมเราถึงเห็นเศรษฐีใหม่ ที่สร้างเนื้อสร้างตัวด้วยมือของเขาเองกันมากมาย ไม่ใช่ความร่ำรวยที่เกิดจากมรดกตกทอดจากบรรพบุรุษ
ดังนั้นผมเชื่อว่าด้วยระบบภาษีแบบ Negative income tax น่าจะช่วยกระตุ้นให้คนยากจนมีความพยายามมากขึ้น เพื่อที่จะหารายได้ให้เข้าเกณฑ์ขั้นต่ำของรายได้ที่รัฐกำหนดไว้
เพื่อจะได้รับเบี้ยขยัน ก่อนจะจบบทความชุดนี้ ผมขอย้ำอีกครั้งหนึ่งว่า "ไม่ใช่ว่าคนจนทุกคนจะขี้เกียจ
และก็ไม่ใช่คนรวยทุกคนที่ขยัน ในหมู่คนจนก็มีคนที่ขยัน
ในหมู่คนรวยก็มีคนที่ขี้เกียจเช่นกัน" เราจึงได้เห็นคนจนที่หลุดพ้นจากความยากจน
และคนรวยที่กลายเป็นคนจนก็มีอยู่มากมากมาย
กิติชัย เตชะงามเลิศ
25/2/62
ถ้าท่านชอบบทความผม ท่านสามารถสมัครสมาชิกโดยกรอกอีเมลของท่าน ในช่องใต้ Follow by Email ทางด้านขวามือ เมื่อมีบทความใหม่ๆ ก็จะมีการส่งอีเมลแจ้งเตือนให้ท่านทราบ เพื่อจะได้ไม่พลาดบทความดีๆกันนะครับ
ติดตามสาระดีๆทั้งไลฟ์สไตล์และการลงทุนได้ที่
Facebook : https://www.facebook.com/VI.Kitichai
Twitter : http://twitter.com/value_talk
Instagram : https://www.instagram.com/gid_kitichai/Blog : http://kitichai1.blogspot.com
หรือ 1.หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์ทุกวันพุธหน้า B6 ในคอลัมน์ "เขียนอย่างที่คิด"
2.วารสารเภตรา ของสมาคมศิษย์เก่าคณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี และ จุลสารเตชะสาร ของสมาคมเตชะสัมพันธ์ ทุกไตรมาส
แอสปาย สาธร-ราชพฤกษ์ Aspire Sathorn-Rajpruek ขายดาวน์ 6 ยูนิตสุดสวย เพียง 2 ล้านบาทเท่านั้น 1 ก้าวจาก SKY
WALK รถไฟฟ้าบางหว้า และรถไฟฟ้า MRT สายสีน้ำเงิน
(เป็นสถานี INTERCHANGE)
ห้องที่จะขายดาวน์(พร้อมเข้าอยู่ได้แล้ว)
ขนาด 26 ตรม. แบบ STUDIO ห้องหันไปทางทิศใต้
รับลมตลอดทั้งปี ราคา 2,000,000 บาท
ปัจจุบันโครงการขายที่ราคาเริ่มต้น
2.79
ล้านบาทแล้วครับ
สามารถดาวน์โหลดรูปภาพและวีดีโอทั้งหมดของ
แอสปาย สาธร-ราชพฤกษ์ Aspire Sathorn-Rajpruek ได้ที่ https://www.dropbox.com/sh/4bocn8qjdrhpfdk/AABGsSAcZwp4zZGj4SUPeXQEa?dl=0
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น