จาก1ล้านเป็น500ล้านผมทำอย่างไร

จาก1ล้านเป็น500ล้านผมทำอย่างไร
เล่าประสบการณ์การลงทุนของผมที่นำไปใช้ได้ง่ายๆ

วันอาทิตย์ที่ 9 กันยายน พ.ศ. 2561

การเป็นนักลงทุนที่ชาญฉลาด ( ตอนจบ )

                         การเป็นนักลงทุนที่ชาญฉลาด ( ตอนจบ )




            บทความนี้เรามาต่อที่  INDICATOR ตัวถัดไปกันครับ

                6. PARABOLIC SAR หลายครั้งเลยที่นักวิเคราะห์ทางเทคนิคเกิดความอึดอัดใจ เพราะว่า INDICATOR แต่ละตัวส่งสัญญาณซื้อ หรือขาย ราคาก็ขึ้นหรือลงไประดับหนึ่งแล้ว  อย่างเช่น กว่า MACD จะตัดขึ้น หรือตัดลง นั่นหมายความว่า ราคาก็มีการปรับตัวขึ้นหรือลงไประดับหนึ่งแล้ว จึงทำให้มีการพัฒนา INDICATOR ตัวนี้ขึ้นมาโดยนักเทคนิคชื่อดังนาย WELLES WILDER ผู้เป็นผู้สร้างตัว RSI ตัวชี้วัดที่ผมได้กล่าวถึงเมื่อหลายสัปดาห์ก่อน  โดยตัวชี้วัด SAR นี้ จะมีลักษณะเป็นจุดๆ ซึ่งมีนักเทคนิคหลายคนเรียกมันว่าเป็นตัว STOP AND REVERAL SYSTEM คือ เป็นจุดกลับเปลี่ยนทิศทางของราคา โดยตราบใดที่ตัวจุด SAR เหล่านี้อยู่ภายใต้แท่งราคาหุ้น ตราบนั้นหุ้นตัวนั้นยังอยู่ในภาวะ BULLISH เช่นเดียวกัน ตราบใดที่จุด SAR เหล่านั้นอยู่เหนือแท่งราคาหุ้นตัวนั้นอยู่ในภาวะ BEARISH และจุดที่เริ่มเข้าซื้อก็ต่อเมื่อตัวจุด SAR ที่เคยอยู่เหนือแท่งราคาได้กลับลงมาอยู่ใต้แท่งราคาโดยจุดแรกที่เริ่มกลับลงมาคือจุดที่จะเริ่มเข้าซื้อนั่นเอง  ในทำนองกลับกับ จุดที่ท่านจะต้องรีบตัดสินใจขายก็คือ เมื่อจุดSAR ที่เคยอยู่ใต้แท่งราคาได้กลับไปอยู่เหนือแท่งราคาจุดที่กลับขึ้นไปเป็นจุดแรกก็คือ จุดที่ท่านควรจะตัดสินใจขายหุ้นตัวนั้นทิ้งในทันที  ซึ่งจาก 6 INDICATOR ดูเหมือนตัวชี้วัดนี้จะมีวิธีการที่ง่ายที่สุดใช่ไหมครับ และนอกจากง่ายที่สุดแล้ว มันยังได้ผลดีด้วยครับ

การเป็นนักลงทุนที่ชาญฉลาด ( ตอนที่ 4 )

                                       การเป็นนักลงทุนที่ชาญฉลาด ( ตอนที่ 4 )




           เรามาต่อ indicator ตัวถัดไปครับ

             2.MACD (MOVING AVERAGE CONVERGENCE DIVERGENCE)  INDICATOR ตัวนี้เป็นตัวที่ดูไม่ยาก เพราะว่า ประกอบด้วยเส้น 2 เส้นเท่าน้น โดยเส้นแรกคือ เส้น MACD ส่วนเส้นที่ 2 คือ เส้นสัญญาน เมื่อเส้น MACD ตัดเส้นสัญญานขึ้นเหนือแกนศูนย์ นั้นคือสัญญาณบ่งบอกถึงภาวะ BULLISH ในทำนองกลับกัน ถ้าเส้น MACD ตัดเส้นสัญญานลง ที่เหนือแกนศูนย์ แสดงว่าภาวะ BEARISH มาแล้ว ยิ่งการตัดกันอยู่ใกล้กับแกนศูนย์ ความน่าเชื่อถือของสัญญาณที่เกิดขึ้นจะมีความแม่นยำมากขึ้นไม่ว่าจะเป็นการตัดขึ้นหรือตัดลงก็ตาม แต่ถ้าเป็นการตัดกันใต้เส้นศูนย์ ไม่ว่าจะเป็นการตัดขึ้นหรือตัดลงก็ตาม จากประสบการณ์ของผมบอกว่าความแม่นยำมีน้อย

             เช่นเดียวกัน เวลาดู MACD ผมก็ดูทั้งรายวัน สัปดาห์ และรายเดือน เพราะว่าจะทำให้เห็นภาพทั้งระยะสั้น กลาง ยาว โดยปกติผมจะเริ่มดูจากเส้นรายเดือนก่อน เพื่อที่จะดูภาพระยะยาว ถ้าระยะยาวบอกว่าดี ด็มาดูระยะกลางต่อ แล้วตามด้วยระยะสั้น ถ้าสั้น กลาง ยาว เส้น MACD ตัดเส้นสัญญาณขึ้นในระดับเหนือเส้นศูนย์ แล้วเส้นระยะสั้นพึ่งจะตัดขึ้นด้วย ยิ่งดีใหญ่เลย แสดงว่าหุ้นตัวนี้เพิ่งส่งสัญญาณซื้อในระยะสั้น  อย่างนี้คงต้องรีบลุยกันเลย บางทีท่านอาจจะมีคำถามว่า แล้วจะตั้งค่า MACD และเว้นสัญญาณเท่าใดจึงจะดี จากที่ผมเคยใช้เป็นประจำคือใช้ตามค่า DEFAULT ที่ APPLICATION ตั้งค่าไว้

การเป็นนักลงทุนที่ชาญฉลาด ( ตอนที่ 3 )

                                     การเป็นนักลงทุนที่ชาญฉลาด ( ตอนที่ 3 )


                บทความก่อนพูดถึงการติดตามข่าวสารต่างๆเกี่ยวกับบริษัทที่เราสนใจจะลงทุน รวมทั้งข่าวคราวของอุตสาหกรรมที่บริษัทที่เราสนใจอยู่ว่ามีสภาวะการณ์อย่างไรบ้าง รวมทั้งการตรวจสอบงบการเงินของบริษัทที่เราเลือกลงทุน นอกจากสิ่งที่ต้องตรวจสอบและวิเคราะห์ดูแล้ว ยังมีอัตราส่วนอื่นๆที่ต้องใช้ประกอบการพิจารณา เช่น ROE ( RETURN ON EQUITY ) และ ROA (RETURN ON ASSET ) ค่า 2 ตัวนี้ยิ่งมากจะยิ่งดี นั่นหมายถึงผลตอบแทนจากส่วนของทุน และผลตอบแทนจากการใช้สินทรัพย์ที่มีเพื่อสร้างกำไรให้กับบริษัทได้มากน้อยแค่ไหน เมื่อท่านทำตามขั้นตอนตามที่เขียนมาทั้ง 6 ขั้นตอน ท่านก็จะพอมีแนวทางที่จะเลือกหุ้นที่จะลงทุนได้แล้ว

                ขั้นตอนต่อไป ก็คือการดูว่าราคาหุ้นของบริษัทที่ท่านได้คัดเลือกไว้แล้วว่ามีราคาถูกเพียงพอให้ท่านเข้าไปลงทุนหรือไม่ ค่า P/E จะบอกท่านได้ โดยตัว P ก็ดูจากราคาตลาดของหุ้นบริษัทที่ท่านสนใจ ส่วนตัว E ก็คือตัว EPS แต่ไม่ใช่ EPS ที่บริษัทประกาศออกมา แต่ต้องเป็นกำไรปกติสุทธิ/หุ้นที่ท่านคำนวณตามที่ผมได้อธิบายไว้เบื้องต้น แต่ P/E ที่ท่านคำนวณได้จะเป็น P/E ที่เกิดขึ้นจากกำไรที่ประกาศออกมาแล้วของปีล่าสุด หรือถ้าท่านเอากำไรของ 4 ไตรมาสล่าสุด มาคำนวณ ก็จะเป็น TRAILING P/E สิ่งที่ต้องระวังคือ กรณีที่บริษัทนั้นๆ ถ้าเป็น CYCLICAL STOCK คือเป็นหุ้นของบริษัทที่ธุรกิจเป็นวัฏจักรอาจจะทำให้ท่านตัดสินใจในการลงทุนผิดพลาดไปได้ เพราะว่าช่วงที่ธุรกิจอยู่ในวัฏจักรช่วงขาขึ้น ผลประกอบการของบริษัทจะดีเป็นพิเศษจะทำให้เมื่อคำนวณ P/E แล้วจะได้ค่าP/E ที่ต่ำมาก ทำให้นักลงทุนเข้าใจว่าเป็นหุ้นที่ดีมีราคาถูก พอช่วงวัฏจักรขาลงหลายๆบริษัทเลยที่จะมีผลประกอบการที่ติดลบ คือขาดทุนเลยทีเดียว ซึ่งก็จะสร้างความผิดหวังให้กับนักลงทุนได้ โดยปกติถ้าเลี่ยงได้ก็น่าจะเลี่ยงที่จะลงทุนในหุ้นที่อยู่ในธุรกิจแบบวัฏจักร เพราะว่ามีความเสี่ยงในการลงทุนเป็นอย่างมาก 

               ผมจะยกตัวอย่างราคาหุ้นที่อยู่ในธุรกิจวัฏจักรตัวหนึ่งให้ท่านได้เห็นถึงผลตอบแทนที่สุดมหัศจรรย์ และอารมณ์ประเภทนรกมีจริง เรามาดูราคหุ้น STA กันครับ เมื่อเดือนพฤษภาคม 2552 ราคาหุ้นตัวนี้อยู่ที่ 1.90 บาท ซึ่งช่วงนั้นราคายางตกต่ำอย่างมาก จึงทำให้ราคาหุ้น STA ที่มีธุรกิจเกี่ยวข้องกับยางที่มีราคาต่ำลง แต่พอช่วงที่ราคายางฟื้นตัวขึ่นมา ราคาหุ้นตัวนี้ดีดขึ้นไปถึง 41.25 บาท เมื่อเดือนมกราคม 2554 ราคาขึ้นมาถึง 39.35บาท/หุ้น คิดเป็น 2,071% เลยทีเดียว แต่พอราคายางตกลงมาอีกรอบ ราคาหุ้นตัวนี้ก็หล่นลงมาเหลือเพียง 11.30 บาท เมื่อเดือนสิงหาคม 2556 เป็นการลดลงถึง 29.45 บาท คิดเป็น 71.39% ซึ่งปัจจุบันราคาตัวนี้ก็ยังต้วมเตี้ยม อยู่แถวๆ 10 บาทต้นๆอยู่เลย นี่กระมังที่นักลงทุนบางท่านกลับเห็นว่าเป็นหุ้นที่มีเสน่ห์ เพราะว่าเห็นผลกำไรจากราคาหุ้นในช่วงที่หุ้นเหล่านี้เริ่ม TURNAROUND แต่หุ้นประเภทนี้ ที่สุดแล้วก็สร้างบาดแผลให้กับนักลงทุนไว้มากมาย 

การเป็นนักลงทุนที่ชาญฉลาด (ตอนที่ 2)


การเป็นนักลงทุนที่ชาญฉลาด (ตอนที่ 2)
              

               เรามาคุยกันต่อจากบทความที่แล้ว เรื่องการบริหารจัดการสภาพคล่องและการใช้บัญชี MARGIN จริงๆแล้วบัญชี MARGIN เปรียบเสมือนดาบ 2 คม คือ มีประโยชน์มากแต่ถ้าใช้ไม่เป็นก็สามารถสร้างโทษมหันต์ได้เช่นกัน เพราะว่าเวลาตลาดหุ้นขาขึ้น ถ้าคุณใช้ MARGIN คุณก็สามารถสร้างผลกำไรได้มากกว่า การใช้บัญชีเงินสด โดยเฉพาะถ้าคุณลงทุนหุ้นถูกต้องถูกจังหวะก็เปรียบเสมือนเสือติดปีกเลยทีเดียว ลองมาดูกันครับ ถ้าคุณมีเงิน 1 ล้านบาท คุณลงทุนด้วยบัญชีเงินสด คุณสร้างผลตอบแทนจากการลงทุนในรอบตลาดขาขึ้นนี้ ได้ 80% นั่นหมายถึง คุณสามารถทำกำไรได้ 800,000 บาท แต่ถ้าคุณลงทุนด้วยบัญชี MARGIN และหุ้นที่ซื้อทั้งหมดเป็นหุ้นที่โบรคเกอร์คุณให้ MARGIN 50% และคุณลงทุนเต็มวงเงิน นั่นหมายถึงคุณสามารถซื้อหุ้นในมูลค่าได้ถึง 2ล้านบาท คือเป็นเงินจากหลักประกันของคุณ 1ล้านบาทและเงินกู้จากโบรคเกอร์อีก 1ล้านบาท 

               สมมติต่อไปว่า ทางโบรคเกอร์คิดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้คุณ 7% ต่อปี สมมติว่าคุณซื้อหุ้นแล้วลงทุนถือยาวไป 1ปีพอดี คุณต้องจ่ายดอกเบี้ยเงินกู้ทั้งปีเป็นเงิน 72,290 บาท (ดอกเบี้ยคิดทุสิ้นเดือน ทบต้นไปทุกๆเดือน) สมมติว่าคุณลงทุนเหมือนกับที่คุณซื้อในบัญชีเงินสดทุกประการ แต่เม็ดเงินที่ลงทุนเป็น 2 เท่า นั้นหมายความว่าคุณจะได้กำไรจากการลงทุน1.60ล้านบาท หักดอกเบี้ยจ่าย 72,290บาทเท่ากับว่าคุณได้กำไรสุทธิ 1,527,710 บาทหรือคิดเป็นผลตอบแทนจากการลงทุนสุทธิเท่ากับ 152.77% เลยทีเดียว นี่คือเสน่ห์ของการใช้ MARGINในการลงทุนในช่วงตลาดขาขึ้น และคุณลงทุนหุ้นถูกตัว แต่ในทางกลับกันถ้าช่วงที่คุณลงทุนอยู่นั้น ตลาดหุ้นอยุ่ในช่วงวิกฤต ปรากฏว่าเงินที่คุณลงทุนไว้ 1 ล้านในบัญชีเงินสดปรากฏว่า มูลค่าหุ้นในพอร์ตลดลงไปเหลือ 700,000 บาทเท่ากับว่าคุณขาดทุนไป 30% 

การเป็นนักลงทุนที่ชาญฉลาด ( ตอนที่ 1 )

การเป็นนักลงทุนที่ชาญฉลาด ( ตอนที่ 1 )




               ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา  ตลาดหลักทรัพย์กลายเป็นแหล่งลงทุนของนักลงทุนหน้าใหม่เข้ามาเพื่อหวังผลตอบแทนจากการลงทุน  บ้างก็ประสบความสำเร็จ บ้างก็ล้มเหลว  ตามกฏของ Pareto’s Principle  หรือที่นิยมเรียกว่า  80-20  RULE คือมี 80% ที่ล้มเหลว  20% ที่ประสบความสำเร็จ  แต่ใน 20% ที่ว่าประสบความสำเร็จนั้น มีไม่กี่% ที่ได้ผลตอบแทนต่อปีมากกว่า 15%  แบบต่อเนื่อง  การที่ใครสักคนอยากจะเป็นนักลงทุนที่ประสบความสำเร็จ  เขาเหล่านั้นควรจะทำอย่างไรบ้าง
               1. ติดตามข่าวสารข้อมูลเศรษฐกิจของโลก ว่าเป็นอย่างไรบ้าง แนวโน้มอัตราดอกเบี้ยของประเทศหลักๆ  โดยเฉพาะสหรัฐ  ว่าเป็นอย่างไร  กำลังอยู่ในช่วงขาขึ้นหรือขาลง  โดยปกติ ราคาหุ้นกับอัตราดอกเบี้ยจะสวนทางกัน  คือ เมื่อไหร่ที่อัตราดอกเบี้ยอยู่ในช่วงขาขึ้น หุ้นมักจะลง  แต่ถ้าอัตราดอกเบี้ยอยู่ในขาลง หุ้นมักจะขึ้น  เว้นแต่หลังจากเกิดวิกฤตเศรษฐกิจ  แล้วเศรษฐกิจเริ่มดีขึ้น  ดอกเบี้ยพึ่งจะเริ่มขึ้น  แบบนี้หุ้นก็อาจจะขึ้นไปได้อีกสักระยะ  จนกว่าดอกเบี้ยขึ้นใกล้จุดสูงสุด  นั่นหมายความว่า  เศรษฐกิจจะเข้าสู่จุดอิ่มตัว  นักลงทุนที่ชาญฉลาดก็จะขายหุ้นออกไปก่อนสัก 6-9 เดือนล่วงหน้า  ซึ่งเราก็จะเห็นถึงแรงขายที่มากกว่าแรงซื้อ  ซึ่งจะทำให้ตลาดหุ้นตกลงอย่างรุนแรง ในทำนองกลับกัน  ช่วงที่เศรษฐกิจตกต่ำ  อัตราดอกเบี้ยส่วนมากมักจะเป็นขาลง  ในช่วงที่ดอกเบี้ยเริ่มลงใหม่ๆ  ยังไม่ควรรีบซื้อหุ้น  เพราะว่าหุ้นส่วนใหญ่จะทำ New Low ไปสักระยะใหญ่ๆ  จนเมื่อแน่ใจว่าอัตราดอกเบี้ยใกล้จุด Bottom แล้ว  ตัวเลขทางเศรษฐกิจเริ่มส่งสัญญาณดีขึ้น  ไม่ว่าจะเป็นตัวเลขการจ้างงาน  ยอดซื้อสินค้าคงทนที่สูงขึ้น เป็นต้น  เมื่อนั้นก็เป็นจุดที่จะกลับเข้าไปลงทุนในตลาดหุ้นได้แล้ว  โดยปกติอัตราดอกเบี้ยของไทยจะเป็นไปตามแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยของสหรัฐ ยิ่งถ้าทำตัวเป็นนักลงทุนระยะยาวเข้าสะสมหุ้นช่วงที่เศรษฐกิจเริ่มฟื้นตัว  แล้วขายเอาช่วงที่เศรษฐกิจใกล้จุด Peak ผลตอบแทนน่าจะได้หลายร้อยเปอร์เซนต์  ถ้าเลือกซื้อหุ้นได้ถูกตัวแล้ว  นี่คือผลตอบแทนที่งดงามจากการทำการบ้านมาเป็นอย่างดี

วันเสาร์ที่ 8 กันยายน พ.ศ. 2561

บางหว้า-เพชรเกษม ทำเลที่เป็นมากกว่าอินเตอร์เชนจ์


               บางหว้า-เพชรเกษม ทำเลที่เป็นมากกว่าอินเตอร์เชนจ์




             นับตั้งแต่ปี 2556 ที่รถไฟฟ้าสายสีเขียวเข้มส่วนต่อขยายได้เปิดให้บริการ ทำเลบางหว้า-เพชรเกษม ก็มีการเติบโตของคอนโดมิเนียมอย่างเห็นได้ชัด โดยเฉพาะในปี 2556 ที่รถไฟฟ้าสายสีเขียวเข้มเปิดให้บริการในปีแรก มี supply คอนโดมิเนียมสูงถึงเกือบ 2,000 ยูนิต สะท้อนให้เห็นความต้องการที่อยู่อาศัยใน ทำเลบางหว้า-เพชรเกษม ได้เป็นอย่างดี ซึ่งปรากฎการณ์เช่นนี้กำลังจะกลับมาที่ ทำเลบางหว้า-เพชรเกษม อีกครั้ง เมื่อรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงินส่วนต่อขยายหัวลำโพง-บางแค ที่มีความคืบหน้าในการก่อสร้างกว่า 98% กำลังจะเปิดให้บริการในปี 2562 นี้ ทำไมต้อง รถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน?


            เหตุผลที่ TerraBKK Research ให้ความสำคัญกับรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงินส่วนต่อขยายที่กำลังจะเปิดขึ้นใน ทำเลบางหว้า-เพชรเกษม เนื่องจากมองว่ารถไฟฟ้าสายสีำน้ำเงิน เป็นรถไฟฟ้าที่สร้างขึ้นมาเพื่อ รองรับการเดินทางภายในเมือง สำหรับคนชานเมืองฝั่งธนฯ ด้วยลักษณะของเส้นทางที่มีรูปแบบการเดินรถแบบวิ่งวนลูป ระหว่าง ใจกลางเมือง-ธนบุรี-ชานเมือง โดยการเข้ามาของรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงินใน ทำเลบางหว้า-เพชรเกษม จะเชื่อมระหว่างพื้นที่ชานเมืองสู่โครงข่ายในเมือง ซึ่งจะเป็นปัจจัยดึงดูดสำคัญ ให้เกิดการเกาะกลุ่มของที่อยู่อาศัยเพิ่มมากขึ้นในบริเวณแนวเส้นรถไฟฟ้า ที่จะไม่ได้กระจุกตัวอยู่แค่ในบริเวณพื้นที่เมืองเท่านั้น ทำให้ทำเลบริเวณเมืองรอบนอกอย่างช่วง บางแค-เพชรเกษม-จรัญสนิทวงศ์ มีศักยภาพของทำเลมากขึ้นอย่างยิ่งยวด เนื่องจากสามารถเดินทางเข้าสู่ในเมืองได้อย่างสะดวก โดยที่ราคาที่ดินและที่อยู่อาศัย ยังไม่ได้เพิ่มสูงมากเกินไปเมื่อเทียบกับบริเวณใจกลางเมือง นอกจากนั้น รถไฟฟ้าสายสีน้ำเงินส่วนต่อขยาย ยังเข้ามาช่วยทำให้โครงข่ายการคมนาคมใน ทำเลบางหว้า-เพชรเกษม สมบูรณ์มากยิ่งขึ้นทั้งรถ-เรือ-ราง

             โดยสรุปก็คือ รถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน เป็นรถไฟฟ้าสายที่เอื้อประโยชน์ต่อคนฝั่งธนบุรีมากที่สุด เนื่องจากเส้นทางส่วนต่อขยายนั้นพาดผ่านย่านสำคัญของฝั่งธนบุรีทั้งหมดตั้งแต่ จรัญสนิทวงศ์, ปิ่นเกล้า ไปจนถึงแนวเส้นถนนเพชรเกษม ทำให้คนฝั่งธนฯ สามารถย่นระยะเวลาการเดินทางเข้าสู่แหล่งงานในเมืองชั้นในที่เป็นย่านสำคัญ จากเดิมที่ใช้รถยนต์เพื่อเข้าเมืองต้องใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมง หากใช้รถไฟฟ้าจะเหลือเพียง 20-30 นาที ด้วยปัจจัยนี้จึงทำให้เกิดแรงดึงดูดการเข้ามาของกลุ่มคนที่อาศัยอยู่บริเวณชานเมืองที่แต่เดิมเป็นชุมชนบ้านเดี่ยวจำนวนมาก โดยการเปลี่ยนแปลงจะเห็นได้ชัดเจนว่าเปลี่ยนจากการ “กระจาย” ของที่อยู่อาศัยเป็นการ “กระจุก” ตามแนวเส้นทางรถไฟฟ้า โดยเฉพาะที่ ทำเลบางหว้า-เพชรเกษม ซึ่งเป็น Interchange ของรถไฟฟ้าสายสำคัญทั้ง 2 สายนั่นเอง บางหว้า-เพชรเกษม ย่นระยะการเดินทาง ไปได้ทุกที่



วันพฤหัสบดีที่ 23 สิงหาคม พ.ศ. 2561

เส้นทางชีวิต 19 ยาจกที่กลายเป็นมหาเศรษฐีพันล้าน$


เส้นทางชีวิต 19 ยาจกที่กลายเป็นมหาเศรษฐีพันล้าน$



ไม่ใช่ทุกคนที่เกิดมาคาบช้อนเงินช้อนทอง
หลายคนที่เริ่มต้นจากการไม่มีอะไรเลย
“จากยาจกกลายเป็นมหาเศรษฐี” อาจเป็นถ้อยคำที่มักได้ยินบ่อยๆ จนเฝือ แต่มันเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นจริงสำหรับชีวิตมหาเศรษฐีพันล้านหลายๆ คน
                           
   ด้วยความพากเพียรและความอุตสาหะเป็นเลิศ ทำให้บุคคลคนเหล่านี้ แม้จะมีอุปสรรคมากมาย แต่พวกเขาก็เอาชนะมันและประสบความสำเร็จ ผันตนเองจากคนจนๆ กลายเป็นมหาเศรษฐีได้ในท้ายสุด ดังเช่นชีวิตของเศรษฐีพันล้าน 19 คนนี้

1.Guy Lalibertè นักแสดงโชว์กินไฟ ก่อนจะเป็นผู้ก่อตั้งคณะแสดงกายกรรมระดับโลกชื่อ Cirque du Soleil
มูลค่าสินทรัพย์รวม: 1.19 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ





   ในช่วงเริ่มต้นอาชีพการทำงาน  Lalibertè เป็นนักแสดงชาวแคนาดาในคณะละครสัตว์  เขายืนบนไม้ค้ำ เล่นแอคคอร์เดียน และโชว์การกินไฟ
   ในรายงาน Business Insider กล่าวว่า หลังจากนั้นต่อมา เขาได้บินจาก Quebec ไปยัง Los Angeles พร้อมกับคณะละครสัตว์ โดยไม่ได้ซื้อตั๋วบินกลับ  ต่อมาได้กลายเป็นคณะแสดงกายกรรมที่ประสบความสำเร็จอย่างสูง Cirque du Soleil  โดยที่มีเขาเป็น CEO


2.Kenny Troutt ใช้เงินจากการขายประกันชีวิต ส่งตัวเองเรียนมหาวิทยาลัย จนกลายเป็นผู้ก่อตั้ง Excel Communications
มูลค่าสินทรัพย์รวม: 1.41 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ
 ภาพ Kenny Troutt จาก Forbes Magazine
   พ่อของ Troutt เป็นบาร์เทนเดอร์และเลี้ยงเขามาตั้งแต่เด็ก  Troutt ขายประกันชีวิตและนำเงินที่ได้มาจ่ายค่าเล่าเรียนใน Southern Illinois University รายได้ส่วนใหญ่ที่เขาหาได้มาจากบริษัทโทรศัพท์ชื่อ Excel Communications ซึ่งเขาเป็นผู้ก่อตั้งในปี 1988 และได้กลายเป็นบริษัทมหาชนในปี 1996   สองปีหลังจากนั้น Troutt ได้ควบรวมบริษัทของเขากับ Teleglobe มีมูลค่าของการควบรวมกิจการอยู่ที่3.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ
   ปัจจุบันเขาได้เกษียณและทุ่มลงทุนในม้าแข่ง

วันอังคารที่ 7 สิงหาคม พ.ศ. 2561

LH อย่างนี้ก็ได้เหรอ?

                                            LH อย่างนี้ก็ได้เหรอ?



       ในช่วง 2-3 วันนี้คงไม่มีข่าวอะไรที่กระทบกระเทือนความรู้สึกของนักลงทุนไปมากกว่า ข่าวที่คุณอนันต์ อัศวโภคิน ได้ประกาศยกเลิกคำเสนอซื้อหุ้น LH(บริษัท แลนด์แอนด์เฮ้าส์ จำกัด (มหาชน)) เรามาดูครับว่าเรื่องราวมันเป็นมายังไงกันครับ

        เริ่มต้นจากวันที่ 21 มิถุนายน 2561 LH แจ้งตลาดหลักทรัพย์ว่าได้รับหนังสือแจ้งความประสงค์ที่จะทำคำเสนอซื้อหุ้น LH บางส่วน (Voluntary Partial Tender Offer) จากนายอนันต์ อัศวโภคิน ในราคาซืัอหุ้นสามัญหุ้นละ 11.80 บาท โดยเมื่อเงื่อนไขบังคับก่อนทุกข้อเสร็จสมบูรณ์ นายอนันต์ฯประสงค์จะทำคำเสนอซื้อหุ้นบางส่วนทั้งสิ้นในจำนวน 1,194,971,317 หุ้น หรือคิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 10.00 ของหุ้นสามัญที่ออกและจำหน่ายได้แล้วทั้งหมดของบริษัทฯ โดยคิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 10.00 ของจำนวนสิทธิออกเสียงทั้งหมดของบริษัทฯ โดยหากมีผู้มาแสดงเจตนาขายหุ้นน้อยกว่าจำนวนหุ้นที่ซื้อ นายอนันต์ฯ จะรับซื้อตามจำนวนหุ้นที่มีผู้มาแสดงเจตนาขาย แต่หากมีผู้ถือหุ้นของบริษัทฯ แสดงความประสงค์ขายหุ้นของบริษัทฯ มากกว่าจำนวนหุ้นที่ซื้อ นายอนันต์ฯ จะรับซื้อหุ้นเพียง 1,194,971,317 หุ้น หรือคิดเป็นร้อยละ 10.00 ของจำนวนหุ้นสามัญที่ออกและจำหน่ายได้แล้วทั้งหมดของบริษัทฯ เท่านั้นโดยใช้วิธีจัดสรรตามสัดส่วนของจำนวนหุ้นที่มีผู้แสดงเจตนาขาย (Pro-Rata Basis) 

วันเสาร์ที่ 28 กรกฎาคม พ.ศ. 2561

จบแล้วต้องโกง ไม่โกงน่ะสิโง่?


                                 จบแล้วต้องโกง ไม่โกงน่ะสิโง่?




        จริงๆแล้วสัปดาห์นี้ควรจะเป็นบทความเรื่อง  “ฝากเงินที่ไหนได้ดอกเบี้ยสูงสุด(ตอนจบ)”  แต่พอดีช่วงนี้มีข่าวเกี่ยวกับนักศึกษาที่กู้ยืมเงินจากกองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา (กยศ.) แล้วชักดาบ จนทำให้คุณครูวิภา ครูโรงเรียนแห่งหนึ่งในกำแพงเพชร ถูกศาลตัดสินยึดทรัพย์เนื่องจากเป็นผู้ค้ำประกันเงินกู้กยศ. ให้นักเรียนชั้น ม.4 และ ม.5 จำนวน 60 คน ตั้งแต่ปี 2541 แต่ปรากฎว่า ลูกศิษย์จำนวน 23 ราย ไม่ชำระหนี้เงินกู้ให้กับกยศ. ทำให้คุณครูผู้ค้ำประกันต้องรับผิดชอบทั้งหมดนั้น จนนำไปสู่การฟ้องและบังคับคดีเอากับผู้ค้ำประกัน ที่ผ่านมาครูวิภาได้นำเงินไปชำระหนี้ให้กับกยศ.ตามหมายบังคับคดีแล้ว 3 คดี กระทั่งมีหมายบังคับคดียึดบ้าน และที่ดินใน จ.กำแพงเพชรอีกครั้ง โดยมีกำหนดขายทอดตลาดในเดือน ส.ค. นี้ ทำให้ครูไม่สบายใจ และเป็นกังวล เพราะ ไม่รู้ว่าจะถูกบังคับคดีอีกกี่ครั้ง และจะต้องหาเงินอีกเท่าไร จึงจะชำระหนี้แทนลูกศิษย์ครบทั้งหมด ผมอ่านข่าวเรื่องนี้แล้วรู้สึกไม่สบายใจเป็นอย่างยิ่ง ครูวิภาให้ข้อมูลว่า ได้เซ็นค้ำประกันหนี้ กยศ. ให้กับนักเรียนมากถึง 60 ราย

       ก่อนอื่นเรามาทำความรู้จักว่ากยศ.ว่ามีที่มาที่ไปอย่างไร กองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา (กยศ.) จัดตั้งขึ้นตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 28 มีนาคม พ.ศ. 2538 และมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 16 มกราคม พ.ศ. 2539 ในสมัยท่านนายก บรรหาร ศิลปอาชา ต่อมารัฐบาลได้พิจารณาเห็นความสำคัญของกองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษามากขึ้น จึงได้มีการประกาศใช้พระราชบัญญัติกองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา พ.ศ. 2541 ในสมัยท่านนายก ชวน หลีกภัย มีผลให้กองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษามีฐานะเป็นนิติบุคคล โดยอยู่ในการกำกับดูแลของกระทรวงการคลัง มีวัตถุประสงค์ให้กู้ยืมเงินแก่นักเรียนหรือนักศึกษาที่ขาดแคลนทุนทรัพย์ เพื่อเป็นค่าเล่าเรียน ค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวเนื่องกับการศึกษา และค่าใช้จ่ายที่จำเป็นในการครองชีพระหว่างศึกษา

วันจันทร์ที่ 23 กรกฎาคม พ.ศ. 2561

ผู้บริหารกับช่วงหุ้นตก


                               ผู้บริหารกับช่วงหุ้นตก


          นักลงทุนที่ลงทุนในตลาดหุ้นมาตั้งแต่ต้นปี คงประสบผลขาดทุนจากการลงทุนกันถ้วนหน้า เนื่องจากดัชนีตลาดหลักทรัพย์ได้ลงจากจุดสูงสุดของปีนี้ที่ 1,852.51 เมื่อวันที่ 27 กุมภาพันธ์ ลงมาทำจุดต่ำสุดที่ 1,584.68 เมื่อวันที่ 29 มิถุนายน(รูปภาพที่ 4) ลงมา 267.83 จุดคิดเป็น 14.46%  ยิ่งถ้าถือหุ้นผิดตัว โดยเฉพาะหุ้นที่ลงมามากๆ ก็คงจะขาดทุนในอัตราส่วนที่มากกว่านี้  การลงมาของตลาดครั้งนี้เกิดจากการที่สหรัฐอเมริกาเริ่มลดการผ่อนคลายทางการเงิน(QE)  ประกอบกับสงครามการค้าระหว่างประเทศสหรัฐอเมริกากับประเทศคู่ค้าทั้งหลายไม่ว่าจะเป็น จีน EU แคนาดา เม็กซิโก ฯลฯ  โดยเฉพาะกรณีกับประเทศจีน ได้สร้างความหวาดวิตกให้กับนักลงทุนทั่วโลก กลัวว่าจะเป็นชนวนที่ทำให้เกิดภาวะเศรษฐกิจตกต่ำทั่วโลกเหมือนกับที่เคยเกิดขึ้นในอดีต  ภาวะตลาดหุ้นทั่วโลกจึงได้มีการปรับตัวลงพอสมควร โดยเฉพาะตลาดในประเทศเกิดใหม่

        ในช่วงที่ผ่านมานี้ ถ้าดูข้อมูลแบบรายงานการเปลี่ยนแปลงการถือหลักทรัพย์ของผู้บริหาร (แบบ 59-2) ซึ่งนักลงทุนสามารถจะดูรายงานดังกล่าวได้จากเว็บไซต์ของกลต http://capital.sec.or.th/webapp/corp_fin2/daily59.php
จะพบว่าผู้บริหารของบริษัทจดทะเบียนหลายๆบริษัท ได้เข้ามาซื้อหุ้นของตัวเองเป็นจำนวนมาก  คงเพราะรู้สึกว่าราคาหุ้นของตัวเองถูกเกินไปแล้ว มีทั้งนานๆซื้อทีและซื้อค่อนข้างบ่อย ด้วยเม็ดเงินที่มากบ้างน้อยบ้าง แล้วแต่ผู้บริหารแต่ละท่านของบริษัทนั้นๆ แต่ก็มีหลายครั้งที่ผมสังเกตเห็นว่า ถึงแม้ผู้บริหารจะเข้ามาซื้อหุ้นของตัวเองก็ตาม แต่หลังจากนั้นก็ยังมีหุ้นบางตัวที่ถูกซื้อไป ยังมีราคาตกลงมาต่ำกว่าที่ผู้บริหารซื้ออยู่หลายบริษัททีเดียว

วันพฤหัสบดีที่ 12 กรกฎาคม พ.ศ. 2561

ฝากเงินที่ไหนได้ดอกเบี้ยสูงสุด(ตอนจบ)


                               ฝากเงินที่ไหนได้ดอกเบี้ยสูงสุด(ตอนจบ)


       บทความที่แล้วผมได้แสดงให้เห็นถึงอัตราดอกเบี้ยเงินฝากของประเทศไทย ในรอบ 30 ปีที่ผ่านมาว่าเป็นอย่างไรบ้าง รวมทั้งได้เล่าถึงเหตุการณ์ช่วงที่เกิดการลดค่าเงินบาทว่า สภาพเศรษฐกิจและดัชนีตลาดทรัพย์เป็นอย่างไรกันบ้าง

        ผมคิดว่า โอกาสที่จะเห็นอัตราดอกเบี้ยเงินฝากประจำอยู่ที่ 14% เหมือนกับช่วงก่อนเกิดวิกฤตต้มยำกุ้งคงมีน้อยมาก ถ้าเกิดขึ้นจริงๆ นั่นหมายถึงว่าประเทศไทยเราคงจะใกล้เข้าสู่วิกฤตเศรษฐกิจครั้งใหม่ เหมือนกับประเทศเกิดใหม่หลายประเทศในขณะนี้ ที่กำลังประสบปัญหาเศรษฐกิจอย่างเช่น อาร์เจนตินา เป็นต้น

        ช่วงสมัยวิกฤตต้มยำกุ้ง ในขณะนั้นประเทศไทยเรามีกองทุนฟื้นฟู ที่ช่วยสถาบันการเงินที่ประสบปัญหา แต่ก็ถือได้ว่าผลลัพธ์ไม่ดีเอาเสียเลย  กว่าจะฟื้นฟูเศรษฐกิจได้เราต้องขาย Distressed asset ไปให้กับต่างชาติในราคาที่ถูกมากๆ  และก็เป็นเวลาหลายปีเลยทีเดียว ที่คนไทยทั่วทั้งประเทศต้องจมอยู่กับภาวะเศรษฐกิจตกต่ำ การว่างงาน ปัญหาหนี้สินล้นพ้นตัว ฯลฯ  ต่อมาได้มีพระราชบัญญัติสถาบันคุ้มครองเงินฝากปีพศ.2551 โดยมีวัตถุประสงค์ดังต่อไปนี้

1. คุ้มครองเงินฝากในสถาบันการเงิน

2. เสริมสร้างความมั่นคงและเสถียรภาพของระบบสถาบันการเงิน

3. ดําเนินการกับสถาบันการเงินที่ถูกควบคุมตามกฎหมายว่าด้วยธุรกิจสถาบันการเงิน และชําระบัญชีสถาบันการเงินที่ถูกเพิกถอนใบอนุญาต

       ต่อมาได้มีการ ออกพระราชกฤษฎีกากำหนดจำนวนเงินฝากที่ได้รับการคุ้มครองเป็นการทั่วไป พ.ศ.2559 ซื่งมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 11 สิงหาคม 2559 เป็นต้นไป เปิดได้มีการเปลี่ยนแปลงจำนวนเงินฝากที่ได้รับการคุ้มครองเป็นการทั่วไป ตามที่กำหนดในพระราชกฤษฎีกาดังกล่าว(ภาพที่ 1) เป็นจำนวนดังต่อไปนี้



             ภาพที่ 1 : จำนวนเงินคุ้มครองในช่วงปี 2558 เป็นต้นไป
                  ที่มา : http://www.dpa.or.th/

         จะเห็นได้ว่าจำนวนเงินคุ้มครองลดลงเรื่อยๆ คือจาก 25 ล้านบาท เมื่อวันที่ 11 สิงหาคมปี 2558 จนมาถึงปัจจุบัน เหลือเพียงจำนวนเงินคุ้มครองเพียง 15 ล้านบาท ซึ่งจำนวนเงินดังกล่าวจะมีผลถึงเพียงวันที่ 10 สิงหาคม 2561 หลังจากนั้นวันที่ 11 สิงหาคม 2561 ถึงวันที่ 10 สิงหาคม 2562 วงเงินคุ้มครองจะเหลือเพียง 10 ล้านบาท และจะลดไปเป็น 5 ล้านบาทตั้งแต่วันที่ 11 สิงหาคม 2562 จนถึงวันที่ 10 สิงหาคม 2560 และในที่สุดจะลดวงเงินคุ้มครองเหลือเพียง 1 ล้านบาทโดยเริ่มมีผลตั้งแต่วันที่ 11 สิงหาคม 2563 เป็นต้นไป   
       
        แต่จำนวนเงินดังกล่าว เป็นจำนวนเงินต่อ 1 บัญชีธนาคาร ดังนั้น ผู้ฝากเงินก็ยังสามารถที่จะแตกเงินฝากไปไว้ที่หลายๆสถาบันการเงิน เพื่อจะให้เงินฝากของตนได้รับการคุ้มครองเต็มจำนวน ปัจจุบันนี้มีสถาบันการเงินที่อยู่ภายใต้ความคุ้มครองเงินฝากของสถาบันคุ้มครองเงินฝาก ที่เป็นธนาคารอยู่ 30 แห่ง บริษัทเงินทุน 2 แห่ง และบริษัทเครดิตฟองซิเอร์อีก 3 แห่ง

         ดังนั้นถ้าผู้ฝากมีเงินฝากอยู่เป็นจำนวนเงิน 350 ล้านบาท ต้องการที่จะฝากเงินเป็นระยะเวลา 1 ปี ก็สามารถแบ่งเงินฝาก เป็นบัญชีละ 10 ล้านบาท มาฝากถาบันการเงินทั้ง 35 แห่ง ก็จะทำให้จำนวนเงินฝากทั้งหมดได้รับการคุ้มครอง โดยสามารถดูรายชื่อสถาบันการเงินที่อยู่ภายใต้สถาบันคุ้มครองเงินฝาก ได้จากเว็บไซต์ของสถาบันคุ้มครองเงินฝาก http://www.dpa.or.th/

ฝากเงินที่ไหนได้ดอกเบี้ยสูงสุด(ตอนที่ 1)


                              ฝากเงินที่ไหนได้ดอกเบี้ยสูงสุด(ตอนที่ 1)



       ในรอบ 30 ปีที่ผ่านมาอัตราดอกเบี้ยเงินฝากสถาบันการเงินของไทย จากรูปภาพที่ 1 ที่ผมได้มาจากเว็บไซต์ https://tradingeconomics.com/thailand/deposit-interest-rate

             

                                   ภาพที่ 1 : อัตราดอกเบี้ยเงินฝากของประเทศไทยในรอบ 30 ปีที่ผ่านมา
        
          ในภาพนี้แสดงให้เห็นว่าช่วงระหว่างปีค.ศ.1990-1991(พ.ศ.2533-2534) ช่วงนั้นอัตราดอกเบี้ยเงินฝากของประเทศไทย เคยขึ้นไปสูงสุดที่ประมาณ 14% ต่อปี ช่วงนั้นเป็นช่วงที่สมัยที่ประเทศไทยเรามีนายกที่ชื่อว่า พลเอกชาติชาย ชุณหะวัณ(4/8/2531 - 23/2/2534) ซึ่งต่อมาก็ถูกปฏิวัติโดยคณะปฏิวัติ ที่มีพลเอกสุนทร คงสมพงษ์ ในวันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2534 แล้วคณะปฏิวัติได้จัดตั้งรัฐบาล ที่มีนายอานันท์ ปันยารชุน เป็นนายกรัฐมนตรี(2/3/2534 - 7/4/2535) ขึ้นมาปกครองประเทศเมื่อวันที่ 2 มีนาคม 2534) สมัยท่านนายกชาติชาย เป็นช่วงที่เงินสะพัดมาก และผมคิดว่าเป็นช่วงที่มีเงินสะพัดมากที่สุดในประวัติศาสตร์ของประเทศไทย ธุรกิจต่างๆต้องการขยายกำลังการผลิต และมีการเก็งกำไรกันเป็นอย่างมาก ไม่ว่าจะเป็นเก็งกำไรในอสังหาริมทรัพย์ มีการสร้างสนามกอล์ฟ อาคารสำนักงาน คอนโดที่อยู่อาศัย มากกว่าความต้องการใช้งานจริงๆ หลังจาก เกิดวิกฤตต้มยำกุ้งในปีพศ. 2540 ในสมัยที่ท่านพลเอกชวลิต ยงใจยุทธ เป็นนายกรัฐมนตรี(25/11/2539 - 9/2/2540) โดยมี ดร.ทนง พิทยะ เป็นรัฐมนตรีคลัง ซึ่งได้ประกาศลอยตัวค่าเงินบาทเมื่อวันที่ 2 กรกฎาคม 2540 ค่าเงินบาทเมื่อเทียบกับเงินเหรียญสหรัฐที่เคยอยู่แถวๆ 25 บาท ได้อ่อนตัวอย่างรวดเร็ว โดยช่วงที่อ่อนตัวมากที่สุดอยู่ที่ 56.75 บาท เมื่อปี 2540(ตามภาพที่ 2)

      

                                                                 ภาพที่ 2 : ค่าเงินบาทเมื่อเทียบกับเงินเหรียญสหรัฐ ช่วงระหว่างปี1997-2018
                                                                 ภาพจาก : www.investing.com

         ในสมัยนั้น สนามกอล์ฟแทบจะร้าง นักกอล์ฟหายไปเป็นจำนวนมาก เพราะมีหลายๆบริษัท ห้างร้าน หรือกิจการต่างๆ ที่ต้องปิดตัวลงไป พนักงานถูกเลย์ออฟเป็นจำนวนมาก หลายๆอาคารกลายเป็นอาคารร้าง เพราะว่าคนที่จองซื้อคอนโด หรือซื้อสมาชิกสนามกอล์ฟ ล้วนแล้วแต่เป็นกลุ่มนักเก็งกำไรเสียเป็นส่วนใหญ่ เมื่อฟองสบู่แตก จึงเกิดเหตุการณ์เช่นนั้น

         จากรูปภาพที่ 3 แสดงให้เห็นว่า มีการเก็งกำไรในตลาดหุ้นเป็นอย่างมาก ช่วงนั้น ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ไต่ระตับจาก 243.97 ในเดือนธันวาคม ปีพศ.2530 วิ่งไปทำจุดสูงสุดที่ 1,143.78 ในเดือนกรกฎาคม ปีพศ. 2533 เท่ากับว่าขึ้นมาถึง 899.81 จุด หรือคิดเป็น 368.82%โดยใช้เวลาเพียง 2 ปีกับ 7 เดือนเท่านั้น หรือเฉลี่ยเพิ่มขึ้นปีละ 142.79% ในช่วงเวลานั้นนักลงทุนและนักเก็งกำไรอู้ฟู่กันถ้วนหน้า เห็นอย่างนี้แล้ว ฟองสบู่จะไม่แตกได้อย่างไรครับ ซึ่งเห็นได้ว่าหลังจากที่ไปทำจุดสูงสุดดังกล่าวแล้ว ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ก็หล่นลงมาอย่างแรง โดยลงไปจุดต่ำสุดที่ 544.30 จุดในเดือนพฤศจิกายน ปีพศ.2533  โดยลงไปถึง 599.48 จุด หรือคิดเป็น 52.41 % ภายในเวลาเพียง 4 เดือนเท่านั้น ช่วงนั้นไม่ว่าจะเป็นนักลงทุนหรือนักเก็งกำไรก็ล้วนแต่จะกระอักเลือดตายกันทั้งนั้น
                      

                                                              ภาพที่ 3 : ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ช่วงระหว่างปีพ.ศ. 2530 ถึง 2533

       ถ้าเทียบกับช่วงปัจจุบันซึ่งดัชนีตลาดหลักทรัพย์ได้ลงจากจุดสูงสุดของปีนี้ที่ 1,852.51 เมื่อวันที่ 27 กุมภาพันธ์ ไปทำจุดต่ำสุดที่ 1,584.68 เมื่อวันที่ 29 มิถุนายน(รูปภาพที่ 4) ลงมา 267.83 จุดคิดเป็น 14.46% ภายในเวลาประมาณ 4 เดือนเท่ากัน ถือได้ว่าช่วงปัจจุบันนี้เป็นการลงที่น้อยมากเมื่อเทียบกับช่วงสมัยก่อน เป็นโชคดีของนักลงทุนรุ่นหลังๆ ที่ยังไม่เคยเจอการลงแบบมหาโหดเหมือนกับนักลงทุนรุ่นก่อนๆ

                  

                                                       ภาพที่ 4 : ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ช่วงต้นปี 2561 จนถึงเดือนกรกฎาคม 2561

              ยังไม่ได้เข้าถึงเรื่องการฝากดอกเบี้ย ที่ให้อัตราดอกเบี้ยสูงสุด เนื้อที่ก็หมดแล้วมาติดตามอ่านกันในสัปดาห์หน้าครับ




กิติชัย เตชะงามเลิศ



       ถ้าท่านชอบบทความผม ท่านสามารถสมัครสมาชิกโดยกรอกอีเมลของท่าน ในช่องใต้ Follow by Email ทางด้านขวามือ เมื่อมีบทความใหม่ๆ ก็จะมีการส่งอีเมลแจ้งเตือนให้ท่านทราบ เพื่อจะได้ไม่พลาดบทความดีๆกันนะครับ



ติดตามสาระดีๆทั้งไลฟ์สไตล์และการลงทุนได้ที่


      หรือ 1.หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์ทุกวันพุธหน้า B6 ในคอลัมน์ "เขียนอย่างที่คิด"   
              2.วารสารเภตรา ของสมาคมศิษย์เก่าคณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี และ จุลสารเตชะสาร ของสมาคมเตชะสัมพันธ์ ทุกไตรมาส




ห้องที่จะขายดาวน์(เข้าอยู่ได้เลย)
     ห้อง 2 นอน 1 น้ำ  43.5 ตารางเมตร ไม่ติดลิฟท์และห้องขยะ ไม่โดนบล็อควิว เฟอร์นิเจอร์ครบครัน ตกแต่งสวยมาก ราคา 7,000,000 บาท ดู VDO ที่  https://youtu.be/71DIiM0m4tM

สามารถดาวน์โหลดรูปภาพและวีดีโอทั้งหมดของ อัลทีจูด ดีไฟน์ สามย่าน(Altitude Define Samyan) ได้ที่ https://www.dropbox.com/sh/yydb77yvmhk1926/AAAOykYkVdsXAVOanCti6x0aa?dl=0

          อาคารชุด 8 ชั้น และชั้นใต้ดิน ลึก 3 ระดับ 59 ห้องชุด ที่จอดรถ  59 คัน คิดเป็น 100 % บนที่ดิน 218 ตารางวา

พื้นที่ส่วนกลาง : สระว่ายน้ำ สวนสาธารณะ ห้องสมุด ซาวน่า และ สปอร์ตคลับ / ฟิตเนส


Altitude Define Samyan, 2 best units(2B1B & 1B1B), only 200 m. from MRT-Samyan and 600 m. from BTS-Saladang.


Down payment sales:

        Unit 2B1B, 43.5 SQM., fully furnished with well decoration, only 7,000,000.
                         https://youtu.be/71DIiM0m4tM

There r only 59 units with 100% car park. Expected ready to move in now.

U can download all of Altitude Define Samyans photo & VDO from https://www.dropbox.com/sh/yydb77yvmhk1926/AAAOykYkVdsXAVOanCti6x0aa?dl=0
หรือ https://photos.app.goo.gl/S9Xu3oX6YJj13f4i9