จาก1ล้านเป็น500ล้านผมทำอย่างไร

จาก1ล้านเป็น500ล้านผมทำอย่างไร
เล่าประสบการณ์การลงทุนของผมที่นำไปใช้ได้ง่ายๆ

วันจันทร์ที่ 18 มิถุนายน พ.ศ. 2561

เศรษฐีกับรากหญ้า…คนละชนชั้น?(ตอนจบ)


            เศรษฐีกับรากหญ้าคนละชนชั้น?(ตอนจบ)


               บทความตอนที่แล้วผมได้นำภาพตารางแสดงปริมาณเงินฝากแยกตามขนาด ซึ่งทำให้เห็นภาพชัดเจนขึ้นว่า ช่องว่างระหว่างคนรวยและคนจน มันช่างกว้างเสียเหลือเกิน เรามีเศรษฐี 43,463 คน หรือคิดเป็น 0.064% ของจำนวนประชากรไทยทั้งหมด ซึ่งมีเงินฝากรวมกันแล้วทั้งหมด = 5,483,050 ล้านบาท หรือคิดเป็น 42.95% ของจำนวนเงินฝากทั้งหมด ในขณะที่เรามีชนชั้นรากหญ้า 77.96% ซึ่งมีเงินฝากรวมกันแล้วทั้งหมด = 2,821,359 ล้านบาท หรือคิดเป็น 22.10% ของจำนวนเงินฝากทั้งหมด  ที่เหลือเป็นชนชั้นกลาง ซึ่งมีจำนวน1,389,250 คน หรือคิดเป็น 2.04% ของจำนวนประชากรไทยทั้งหมด มีเงินฝากรวมกันทั้งหมด = 4,462,894 ล้านบาท หรือคิดเป็น 34.95% ของจำนวนเงินฝากทั้งหมด ปัญหาคือเราจะทำอย่างไร เพื่อจะลดช่องว่างดังกล่าวให้แคบลง

             แต่ไหนแต่ไรมา ผมไม่เคยศรัทธาการให้ปลา แต่ผมศรัทธาการสอนให้คนตกปลาเป็น ผมเห็นบริษัทต่างๆไม่ว่าบริษัทใหญ่หรือบริษัทเล็ก เวลาจะทำ CSR ก็มักจะเอาของไปแจก อย่างเช่นทุกฤดูหนาวก็จะเอาผ้าห่มไปแจกเป็นต้น ทำกันอย่างนี้ทุกปี ไม่รู้ว่าป่านนี้คนจนมีผ้าห่มกี่สิบผืนแล้ว แต่คนจนก็ยังคงยากจนอยู่เหมือนเดิม  ทำไมเราไม่สอนวิธีการทำมาหากิน การสร้างรายได้ ให้กับคนเหล่านี้ เพื่อให้เขามีวิชาติดตัว สามารถพึ่งพาตนเองได้ไม่ดีกว่าเหรอ  สู้ใช้วิธีการช่วยเหลือสังคมแบบ Social Enterprise(SE) น่าจะได้ประโยชน์มากกว่าและยั่งยืนกว่า  ซึ่งผมเคยเขียนบทความเกี่ยวกับ SE ลงในหนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์เมื่อ 2 ปีที่แล้ว สามารถที่จะติดตามอ่านได้ที่ http://kitichai1.blogspot.com/2016/04/se-csr.html

          โดยทางภาครัฐกับภาคเอกชนร่วมมือกัน แล้วให้ภาคอุตสาหกรรมต่างๆของหอการค้าแห่งประเทศไทย ส่งตัวแทนเข้ามาวางแผนกับภาครัฐในการทำ SE  จัดตั้งสำนักงานพัฒนาแรงงาน เพื่อให้มีความสามารถสอดคล้องกับความต้องการของภาคเอกชน ให้รัฐเป็นผู้ออกค่าใช้จ่ายในการพัฒนาแรงงานของคนจนเหล่านี้ จากฐานของผู้มีบัตรคนจน 10 กว่าล้านใบ รัฐสามารถที่จะติดต่อคนเหล่านี้ ให้เข้ามาฝึกและพัฒนาฝีมือแรงงาน เริ่มต้น อาจจะต้องมีแรงกระตุ้น อย่างเช่นถ้าคนจนคนไหนที่มารับการฝึกพัฒนาฝีมือแรงงาน ก็จะได้เบี้ยเลี้ยงทุกวันที่มาฝึก  แล้วเมื่อถึงสิ้นคอร์สอบรม ถ้าใครสอบผ่าน ก็จะได้รับโบนัสอีกต่างหาก พอสำเร็จการอบรมก็จะทำให้คนจนเหล่านี้ มีทางเลือกที่จะไปประกอบอาชีพจากความรู้ที่ได้รับมา หรือไปทำงานกับ SE ต่างๆ โดยกำหนดให้ SE  จะต้องรับแรงงานเหล่านี้เข้าทำงาน และทุกองค์กรของ SE  จะต้องมีแรงงานเหล่านี้ไม่ต่ำกว่าครึ่งหนึ่งของจำนวนพนักงานทั้งหมด และรัฐก็ควรจะให้ฝ่ายเอกชน นำค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ มาลดหย่อนภาษีได้ตามสมควร เพื่อเป็นการกระตุ้นให้ภาคเอกชนเห็นถึงประโยชน์ ทั้งทางด้านประหยัดภาษีและภาพลักษณ์ขององค์กร ก็จะเป็น win win win ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และคนจนทั้งประเทศ ยิ่งถ้าลงไปในระดับหอการค้าของจังหวัดต่างๆได้ ก็จะทำให้การช่วยเหลือคนจนได้ทั่วถึงมากขึ้น  ผมคิดว่าเราจะลดปริมาณคนจนในประเทศได้เป็นอย่างมาก ซึ่งจะทำให้ช่องว่างระหว่างคนรวยและคนจนแคบลง

           กลับมาที่เรื่องของคนที่มีเงินฝากกันบ้าง  จากฐานข้อมูลของธนาคารแห่งประเทศไทยเมื่อสิ้นสุดเดือนสิงหาคม 2560 พบว่ามีบัญชีเงินฝากทั้งสิ้น 92,537,617 บัญชี  รวมเป็นเงิน 12,767,304 ล้านบาท ซึ่งส่วนใหญ่จะฝากอยู่ที่สถาบันการเงินใหญ่ๆ ตัวเลขล่าสุดที่ผมเช็คมา อัตราดอกเบี้ยฝากประจำ 1 ปี ของธนาคารกรุงเทพ = 1.50% ในขณะที่ถ้าฝากกับบริษัทเครดิตฟองซิเอร์แห่งหนึ่ง อัตราดอกเบี้ยฝากประจำ 1 ปี = 3.50% อัตราดอกเบี้ยแตกต่างกันเกินเท่าตัวด้วยซ้ำ ทั้งๆที่สถาบันการเงินทั้ง 2 แห่งก็อยู่ภายใต้ความคุ้มครองของสถาบันคุ้มครองเงินฝาก(สคฝ.)เหมือนกัน  สมมุติว่ามีเงินฝากอยู่ที่ธนาคารกรุงเทพ 15 ล้านบาท  พอครบปีท่านจะได้ดอกเบี้ย 225,000 บาท ในขณะที่ฝากเงินกับบริษัทเครดิตฟองซิเอร์แห่งนั้น พอครบปีถ้าจะได้ดอกเบี้ย 525,000 บาท  จะเห็นได้ว่าดอกเบี้ยแตกต่างกันถึง 300,000 บาทเลยทีเดียว(ยังไม่ได้หักภาษีจากดอกเบี้ยที่ได้รับ)  ทั้งๆที่สคฝ.คุ้มครองเงินฝากในวงเงิน 15 ล้านบาทต่อบัญชีสถาบันการเงิน  เพียงแค่ทำการบ้านหน่อย ถามอากู๋ว่ารายชื่อสถาบันการเงินที่อยู่ในความคุ้มครองของสถาบันคุ้มครองเงินฝาก(สคฝ.) มีอะไรบ้าง แค่นี้ก็จะได้ดอกเบี้ยเพิ่มขึ้น ทั้งๆที่จำนวนเงินต้นเท่าเดิมและช่วงเวลาฝากก็เท่าเดิม

           แต่อย่าลืมนะครับว่า สคฝ.เตรียมที่จะขยับลดความคุ้มครองเงินฝาก ให้เหลือเพียง 10 ล้านบาท ในวันที่ 11 สิงหาคม 2561 จากปัจจุบันที่คุ้มครองไม่เกิน 15 ล้านบาท และหลังจากวันที่ 11 สิงหาคม 2563 เป็นต้นไป จะคุ้มครองเงินฝากเหลือเพียงบัญชีละ 1 ล้านบาทต่อสถาบันการเงิน  พอถึงเวลานั้นก็ย้ายเงินฝาก ไปไว้ที่บริษัทเครดิตฟองซิเอร์ทั้ง 3 แห่งและบริษัทเงินทุนอีก 2 แห่ง ซึ่งแน่นอนจะได้รับดอกเบี้ยสูงกว่าฝากกับธนาคารพาณิชย์ทั่วไป แต่ไหนแต่ไรผมชอบนินทาคนที่ฝากเงินกับธนาคาร ว่าเป็นคนสิ้นคิด ช่วยคิดเพิ่มอีกหน่อยก็ดีนะครับ

     อ่าน เศรษฐีกับรากหญ้า…คนละชนชั้น?(ตอนที่ 1) ได้ที่ http://kitichai1.blogspot.com/2018/06/1.html

กิติชัย เตชะงามเลิศ


     18/6/61


ถ้าท่านชอบบทความผม ท่านสามารถสมัครสมาชิกโดยเอาเม้าส์ไปทางด้านขวามือจะมีแถบแสดงออกมา แล้วเลือกคลิกไอคอนที่เขียนว่าสมัครรับข้อมูล เมื่อผมมีบทความใหม่ ท่านก็จะทราบทันที

  
      ติดตามสาระดีๆทั้งไลฟ์สไตล์และการลงทุนได้ที่


      หรือ 1.หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์ทุกวันพุธหน้า B6 ในคอลัมน์ "เขียนอย่างที่คิด"   
              2.หนังสือพิมพ์ประชาชาติธุรกิจหน้า 15 เดือนละครั้ง ในคอลัมน์ “จับช่องลงทุน” 
              3.วารสารเภตรา ของสมาคมศิษย์เก่าคณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี และ จุลสารเตชะสาร ของสมาคมเตชะสัมพันธ์ ทุกไตรมาส



ณ วรา เรสซิเดนท์ หลังสวน ขายดาวน์ยูนิตสุดสวย ชั้นเพนท์เฮ้าส์ พร้อมเฟอร์นิเจอร์พรีเมียมครบชุด ซื้อมาในรอบ VVIP เจ้าของขายเอง ราคาพิเศษ เดิน 3 นาที จาก BTS ชิดลม



     ห้องที่จะขายดาวน์(คาดว่าจะเสร็จภายใน กย. ปี 2561) : ห้อง ชั้น 8(ชั้นเพนท์เฮ้าส์ ) พื้นที่ 44.37 ตรม.1 นอน 1 น้ำ หันไปทางทิศเหนือ ชั้นนี้ มีสวนลอยฟ้า สระว่ายน้ำ และฟิตเนส วิวดี พร้อมเฟอร์นิเจอร์พรีเมียมครบชุด ตกแต่งสวยมาก ราคา 10,600,000 บาท

CALL   : 081-8118229
LINE   : gid_kitichai
Wechat : gid_kitichai

Navara Residence, 1B 1B, penthouse fl., fully furnished, 3 minutes walk from BTS Chidlom, 44.37 sqm., only 10.60 million baht.

Down payment sales:
The unit is on 8th fl.(penthouse fl.), 1B1B, fully furnished, 44.37 sqm., balcony facing north, only 10.60 million baht.

CALL   : 081-8118229
LINE   : gid_kitichai
Wechat : gid_kitichai


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น