จาก1ล้านเป็น500ล้านผมทำอย่างไร

จาก1ล้านเป็น500ล้านผมทำอย่างไร
เล่าประสบการณ์การลงทุนของผมที่นำไปใช้ได้ง่ายๆ

วันอังคารที่ 19 มิถุนายน พ.ศ. 2561

คนไทยออมเงินไม่เป็น


                                                                                   คนไทยออมเงินไม่เป็น


               จากประสบการณ์ที่ผมได้รับเชิญไปเป็นวิทยากรในงานสัมมนาต่างๆ ผมชอบถามผู้เข้าร่วมสัมมนาโดยเฉพาะเมื่อหัวข้อเกี่ยวกับเรื่องการออมเงินว่า เมื่อคุณมีรายได้เข้ามา คุณทำอย่างไรกับเงินก้อนนั้น  ร้อยละ 90 จะตอบว่าใช้ก่อน มีเงินเหลือก็จะเก็บออม  หรือบางท่านอาจจะตอบให้สวยหรูหน่อยว่า พยายามใช้จ่ายอย่างประหยัดเพื่อให้มีเงินออมมากขึ้น  ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นวิธีที่ผิดพลาด ถ้าคิดจะออมเงิน วิธีที่ถูกต้อง ควรจัดการเงินออมออกมาก่อนอย่างน้อย 20 เปอร์เซ็นต์ของรายได้ ยิ่งถ้ามีรายได้สูงสูงควรจะออมเงินด้วยสัดส่วนที่มากขึ้น  อย่างเช่นตัวผมเอง ผมออมเงินประมาณ 90 เปอร์เซ็นต์ของรายได้

             ปัจจุบันนี้การโฆษณาและประชาสัมพันธ์เข้าถึงตัวเราได้แทบจะทุกทิศทาง  ไม่ว่าจะเป็นมือถือ คอมพิวเตอร์ ทีวีหนังสือพิมพ์ นิตยสาร วิทยุ ป้าย Billboard โฆษณา โรงหนัง ห้างสรรพสินค้า  Supermarket  รถโดยสารสาธารณะ รถไฟฟ้า แม้กระทั่งในลิฟท์โดยสารก็ยังไม่เว้น ซึ่งโฆษณาเหล่านี้ล้วนแล้วแต่พยายามจะดึงดูดเงินในกระเป๋าของเรา  บางครั้งดูดเงินในกระเป๋าเราหมดแล้ว ยังไปดูดเงินอนาคตของเรามาอีกด้วย จากการใช้บัตรเครดิตแบบแบ่งจ่ายหรือสินเชื่อบุคคล เป็นต้น  ซึ่งอัตราดอกเบี้ยก็มหาโหด โดยอัตราดอกเบี้ยบัตรเครดิตอยู่ที่ 18 เปอร์เซ็นต์ อัตราดอกเบี้ยสินเชื่อบุคคลอยู่ที่ 25 เปอร์เซ็นต์ นี่ยังไม่นับหนี้นอกระบบที่จ่ายกันถึงร้อยละ 3 ต่อเดือน หรืออาจจะมากกว่านั้นด้วยซ้ำ

               วอร์เรน บัฟเฟตต์ นักลงทุนชื่อดังก้องโลก ยังสร้างผลตอบแทนได้โดยเฉลี่ยประมาณ 20 เปอร์เซ็นต์ต่อปีเท่านั้น อย่าลืมนะครับว่า เขาหารายได้จากเงินออมและเงินลงทุน แต่ในขณะที่คุณกำลังใช้จ่ายโดยเสียดอกเบี้ยในอัตราที่สูงกว่านักลงทุนระดับโลกทำได้เสียอีก  ผมจึงพูดเสมอว่า "คนที่กำลังจะรวยคือคนที่ใช้จ่ายต่ำกว่าฐานะของตนเอง ในขณะที่คนกำลังจะจนก็คือคนที่ใช้จ่ายเกินกว่าฐานะของตนเอง"

               ผมได้อ่านผลวิจัยเชิงสำรวจของสถาบันวิจัยและบริการวิชาการของมหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ(AU Poll)เมื่อเร็วๆนี้ ซึ่งการวิจัยเชิงสำรวจเรื่องการออมและการลงทุนของคนกรุงเทพ โดยมีกรณีศึกษาเป็นตัวอย่างคนทำงานที่มีอายุระหว่าง 20 ถึง 55 ปี จำนวนทั้งสิ้น 1,210 ตัวอย่าง โดยเป็นเพศชาย 44.63%  และเพศหญิง 55.37% และมีระดับการศึกษาระดับต่ำกว่าปริญญาตรี 26.71% ระดับ 52.27% และสูงกว่าระดับปริญญาตรี 6.02%




              พบว่า คนกรุงเทพมีเงินออมโดยเฉลี่ยเพียง 3,373 บาทต่อเดือนเท่านั้น โดยคนกรุงเทพที่มีเงินออมคิดเป็น 73.74 % ในขณะที่ผู้ที่ไม่มีเงินออมที่เป็น 26.26% สาเหตุที่ไม่มีเงินออมเพราะ

1.มีรายจ่ายเยอะทำให้ไม่มีเงินเหลือเก็บ 63.26%
2.มีหนี้สิน 17.80%
3.รายได้ไม่แน่นอน 10.28%
4.เงินเดือนน้อย 8.71%

            โดยจำนวนผู้ที่มีหนี้สินคิดเป็น 63.72% ขณะที่ผู้ที่ไม่มีหนี้สิน 36.28% เมื่อแยกประเภทของหนี้สิน จะพบว่าเป็นหนี้บ้าน 872,464 บาท หนี้บัตรเครดิต 323,544 บาท หนี้รถยนต์ 302,933 บาท หนี้เงินกู้ในระบบ 231,632 บาท หนี้เงินกู้นอกระบบ 36,752 บาท หนี้อื่นๆ เช่นสหกรณ์ 38,286 บาท ทำให้คนกรุงเทพต้องขวนขวายหารายได้อื่น นอกเหนือจากรายได้ประจำ จากตัวอย่างมีถึง 44.62% ที่มีรายได้อื่น 

             ที่นี้เรามาดูผู้ที่มีเงินออมว่า เขาออมกันอย่างไร ปรากฏว่า 71.93% ออมประจำทุกเดือน ที่เหลือก็ออมนานๆครั้ง และคนกรุงเทพ 78.25% เลือกที่จะออมเงินกับธนาคารมากกว่านำเงินไปลงทุน ส่วนที่เหลือ 21.75% ก็จะนำเงินออมไปลงทุนในสินทรัพย์อื่นๆ  โดยลงทุนใน กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ 37.81% ทองคำ 30.30% พันธบัตร 15.27% กองทุนรวม 11.82% หุ้น 6.9% อสังหาริมทรัพย์ 5.17% Forex 1.11% อื่นๆ 18.97%

               เมื่อเห็นตัวเลขดังกล่าวแล้ว น่าตกใจอย่างยิ่ง นี่ขนาดคนกรุงเทพแท้ๆ  มีเพียง 1 ใน 5 คนเท่านั้นที่รู้จักการลงทุน ระดับการศึกษาของคนกรุงเทพก็ถือว่าสูงกว่าค่าเฉลี่ยของทั้งประเทศ นี่ถ้าไปสำรวจคนต่างจังหวัดหรือคนในชนบท ตัวเลขยิ่งจะไม่แย่ไปกว่านี้เหรอ  ทั้งนี้ทั้งนั้นจะไปโทษคนกรุงเทพ คนต่างจังหวัด หรือคนในชนบท ไม่ได้เสียทั้งหมด  คงต้องโทษที่ระบบการศึกษาของรัฐ ที่ไม่มีการวางแผนให้ดี จริงๆแล้วเรื่องการออมเงิน ควรบรรจุไว้เป็นหลักสูตรสำหรับนักเรียนชั้นมัธยมต้นหรือปวช.เสียด้วยซ้ำ เพราะบางคนอาจจะไม่ได้เรียนต่อมัธยมปลาย ปวส. หรือระดับมหาวิทยาลัย และเด็กมัธยมต้นยังเป็นเด็กที่หัวอ่อนอยู่ เปรียบเสมือนไม้อ่อนที่ดัดง่าย หรืออย่างน้อยก็ให้หนังสือเกี่ยวกับเรื่องการออมเงิน เป็นหนังสือนอกเวลาเรียนก็ยังดี

               ยิ่งสังคมไทยปัจจุบันเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุโดยมีคนไทยที่อายุเกิน 60 ปีอยู่ประมาณ 15% แล้ว คาดว่าภายในปี 2565 จะมีคนไทยที่มีอายุเกิน 60 ปีมีอยู่ถึง 20% ถ้าระดับการออมเงินของคนในชาติยังต่ำอยู่เช่นนี้ และความรู้เกี่ยวกับเรื่องการออมเงินก็แทบจะไม่มี มองไปข้างหน้าอนาคตของประเทศชาติดูแล้วน่าเป็นห่วงอย่างยิ่งนะครับ




กิติชัย เตชะงามเลิศ


     19/6/61


          ถ้าท่านชอบบทความผม ท่านสามารถสมัครสมาชิกโดยเอาเม้าส์ไปทางด้านขวามือจะมีแถบแสดงออกมา แล้วเลือกคลิกไอคอนที่เขียนว่าสมัครรับข้อมูล เมื่อผมมีบทความใหม่ ท่านก็จะทราบทันที

  
      ติดตามสาระดีๆทั้งไลฟ์สไตล์และการลงทุนได้ที่


      หรือ 1.หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์ทุกวันพุธหน้า B6 ในคอลัมน์ "เขียนอย่างที่คิด"   
              2.หนังสือพิมพ์ประชาชาติธุรกิจหน้า 15 เดือนละครั้ง ในคอลัมน์ “จับช่องลงทุน” 
              3.วารสารเภตรา ของสมาคมศิษย์เก่าคณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี และ จุลสารเตชะสาร ของสมาคมเตชะสัมพันธ์ ทุกไตรมาส

คอนโดแอสปาย สาธร-ราชพฤกษ์ Aspire Sathorn-Rajpruek ขายดาวน์ 4 ยูนิตสุดสวย ราคาพิเศษ 1 ก้าวจาก SKY WALK รถไฟฟ้าบางหว้า และรถไฟฟ้า MRT (เป็นสถานี INTERCHANGE)
        
        ห้องที่จะขายดาวน์(คาดว่าจะแล้วเสร็จ กย. 2561) ขนาด 26 ตรม. แบบ STUDIO ห้องหันไปทางทิศใต้ รับลมตลอดทั้งปี ราคา 2,050,000 บาท



LINE   : gid_kitichai
Wechat : gid_kitichai

       Aspire Sathorn-Rajpruek, 1 step from BTS Bangwah & MRT, the best 4 units for sales.

Down Payment sales : Studio type, 26 sqm., the balcony facing south, only 2.05 million baht.


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น