จาก1ล้านเป็น500ล้านผมทำอย่างไร

จาก1ล้านเป็น500ล้านผมทำอย่างไร
เล่าประสบการณ์การลงทุนของผมที่นำไปใช้ได้ง่ายๆ

วันอังคารที่ 22 มกราคม พ.ศ. 2562

การส่งต่อมรดกของ 25 ตระกูล ที่มีทรัพย์สมบัติมากที่สุดในโลก


                  การส่งต่อมรดกของ 25 ตระกูล ที่มีทรัพย์สมบัติมากที่สุดในโลก


                การส่งต่อมรดกที่มีมูลค่ารวมแล้วมากกว่าล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ ของ 25 ตระกูลที่มีทรัพย์สมบัติมากที่สุดในโลก ซึ่งจัดลำดับโดยสำนักข่าว Bloomberg บริษัทขนาดใหญ่อย่างเช่น Walmart, Samsung, Koch Industries, และ Hermes ได้สร้างทรัพย์สมบัติจำนวนมหาศาล ที่จะส่งต่อให้แก่รุ่นลูกหลานต่อไป มักจะมีคำพูดเก่าแก่ที่บอกว่า ความมั่งคั่งจะอยู่ได้ไม่เกิน 3 ชั่วอายุคน แต่ว่าคงไม่เป็นจริงสำหรับ 25 ตระกูลที่มีทรัพย์สินจำนวนมหาศาล และอยู่ในยุคที่มีช่องว่างระหว่างรายได้สูง


               จากรายงานของ Bloomberg Billionaires Index ทั้ง 25 ตระกูลนี้มีทรัพย์สินรวมกันกว่า 1.1 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ ตั้งแต่ขนม Mars ไปจนถึงผ้าพันคอ Hermes ร้านขายของไปจนถึงโรงแรม บริษัทข้อมูลข่าวสารไปจนถึงบริษัทผลิตยา ที่มาของทรัพย์สินอันมหาศาลนี้อาจต่างกันออกไปและจำนวนทรัพย์สินก็มากเกินที่จะคาดคิดได้:  มากกว่ามูลค่าตลาดของ Apple Inc หรือมากกว่าเงินฝากรวมทั้งหมดของ Citigroup Inc. หรือแม้กระทั่งมากกว่า GDP ของประเทศอินโดนีเซีย

              ทรัพย์สินของตระกูลอย่าง Rothschilds หรือ Rockefellers กระจายตัวมากเกินกว่าที่จะประเมินค่าได้ และบางตระกูลที่มีมรดกตกทอดมาตั้งแต่ทศวรรษหรือแม้กระทั่งศตวรรษที่ผ่านมาอาจทำให้จำนวนทรัพย์สินที่แท้จริงคลาดเคลื่อน การจัดลำดับนี้ไม่รวมถึงตระกูลที่ไม่สามารถตรวจสอบทรัพย์สินได้หรือเป็นเงินได้ที่มาจากรัฐเช่นบางตระกูลในประเทศซาอุดีอาระเบีย

             การจัดลำดับทรัพย์สินตระกูลของ Bloomberg ไม่นับรวมตระกูลที่ร่ำรวยเป็นรุ่นแรก ดังนั้นจึงมีตระกูลคนเอเชียเพียง 3 ตระกูลเท่านั้นที่อยู่ในลำดับ และไม่มีตระกูลจากประเทศจีนอยู่ในการจัดอันดับครั้งนี้ ซึ่งแสดงให้เห็นว่าประชากรในแถบนี้เพิ่งสร้างฐานะได้ไม่นานมานี้ แต่ในอนาคตสิ่งนี้จะเปลี่ยนไปเนื่องจากมีธุรกิจตระกูลเกิดขึ้นมากมายและนักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จอย่าง Li Ka-shing ก็กำลังจะส่งต่อธุรกิจของเขาให้กับรุ่นลูกต่อไป

             มรดกอันมหาศาลอย่างของ Pulitzers, Vanderbilts, และ Woolworths ที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นตำนานก็ยังสามารถหมดไปได้ Rebecca Gooch แห่ง Campden Wealth เคยกล่าวไว้ว่ามีหลายสิ่งที่ตระกูลต้องทำเพื่อให้มั่นใจว่าทรัพย์สินจะคงอยู่เพื่อสืบทอดต่อไปจากรุ่นสู่รุ่น การวางแผน การศึกษา และ การสื่อสารถือเป็นเรื่องสำคัญ



             มหาเศรษฐีบางคนมีความคิดที่แตกต่าง เช่น Bill Gates และ Mark Zuckerberg เลือกที่จะเข้าร่วมกับ Warren Buffets Giving Pledge ที่จะบริจาครายได้ส่วนใหญ่ให้กับมูลนิธิ การกระทำนี้สอดคล้องกับคำพูดของ Carnegie ที่ว่าชีวิตคนเราแบ่งเป็น 3 ช่วงเวลา ให้ใช้ชีวิตช่วงแรกในการศึกษาหาความรู้ ใช้ช่วงที่ 2 ในการหาเงินให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ และช่วงสุดท้ายให้ใช้เงินไปกับสิ่งที่ควรค่า

อันดับที่ 1
           ตระกูล Walton ผู้ก่อตั้งบริษัท Walmart (ธุรกิจขายปลีก) มีทรัพย์สิน 151.5 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ ตั้งอยู่ในเมือง Bentonville รัฐArkansas ประเทศสหรัฐอเมริกา


           Walmart เป็นร้านค้าปลีกที่ใหญ่ที่สุดในโลกด้วยรายได้กว่า 500 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ จาก 12,000 ร้านทั่วโลก Walton Enterprises และ Walton Family Holdings Trust ครอบครองครึ่งหนึ่งของจำนวนร้านค้าจึงนับเป็นทรัพย์สินของตระกูลที่มีจำนวนมากที่สุด

ประวัติของตระกูล

รุ่น 1 - ปี 1945: Sam Walton ซื้อร้านแรก
รุ่น 2 - ปี 1992: Sam Walton เสียชีวิต ลูกชายคนโต Rob ขึ้นเป็นประธาน
รุ่น 3   ปี 2016: Steuart Walton รับตำแหน่งในคณะกรรมการต่อจาก Jim ผู้เป็นบิดา


อันดับที่ 2
             ตระกูล Koch ผู้ก่อตั้งบริษัท Koch Industries (ธุรกิจอุตสาหกรรม) มีทรัพย์สิน 98.7 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ ตั้งอยู่ในเมือง Wichita รัฐ Kansas ประเทศสหรัฐอเมริกา

             4 พี่น้อง Frederick, Charles, David, และ William ดำเนินธุรกิจน้ำมันต่อจากบิดา การแก่งแย่งอำนาจภายในบริษัทช่วงต้นทศวรรษ 1980 ทำให้ Frederick และ William ออกจากกิจการตระกูล เหลือ Charles และ David ที่อยู่พัฒนาบริษัทจนเป็น Koch Industries ในปัจจุบันที่มีรายได้ต่อปีประมาณ 100 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ โดย Charles และ David ได้บริหารทรัพย์สินบางส่วนผ่านทางสำนักงานของตระกูลชื่อ 1888 Management

ประวัติของตระกูล
https://together.wustl.edu/Pages/Koch-Family.aspxm
รุ่นที่ 1ปี 1940: Fred Koch เป็นผู้ร่วมก่อตั้ง Wood River Oil และ Refining Company
รุ่นที่ 2ปี 2018: ด้วยปัญหาทางสุขภาพของ David Koch ทำให้เขาต้องลงจากตำแหน่งผู้นำของบริษัท


อันดับที่ 3
              ตระกูล Mars ผู้ก่อตั้งบริษัท Mars (ธุรกิจขนมหวาน, การดูแลสัตว์เลี้ยง) มีทรัพย์สิน 89.7 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ ตั้งอยู่ในเมือง McLean รัฐVirginia ประเทศสหรัฐอเมริกา

              Frank Mars เรียนรู้ที่จะทำช็อคโกแลตแบบเคลือบตั้งแต่ตอนเป็นเด็กนักเรียน ต่อมาธุรกิจของเขาโด่งดังในชื่อ M&Ms, Milky Way, และ Mars Bars แม้ว่ารายได้กว่าครึ่งหนึ่งจะมาจากธุรกิจผลิตและจำหน่ายอาหารสัตว์ ทั้งนี้ธุรกิจของตระกูล Mars จะตกเป็นของคนในตระกูลเท่านั้น
https://www.google.co.th/search?q=mars+family&rlz=1C5CHFA_enTH803TH803&source=lnms&tbm=isch&sa=X&ved=0ahUKEwj_1r_K5MvdAhWKWX0KHYVvDBcQ_AUIDigB&biw=1440&bih=782#imgdii=HYw79PlYwckf6M:&imgrc=ClTKzPLYvieNZM:
ประวัติของตระกูล

รุ่นที่ 1ปี 1883: Frank Mars เกิดในปีนี้ และเป็นโรคโปลิโอตั้งแต่เด็ก ทำให้เขาไม่สามารถเดินไปโรงเรียนได้
รุ่นที่ 2ปี 1932: Forrest E. Mars Sr. ย้ายไปอยู่ที่สหราชอาณาจักร
รุ่นที่ 3ปี 1999: Forrest Mars Jr. เกษียณจากการเป็นผู้บริหาร
รุ่นที่ 4ปี 2017: Mars ได้ควบรวมกับบริษัทผลิตและจำหน่ายอาหารสัตว์ VCA

อันดับที่ 4
              ตระกูล Van Damme, De Spoelberch, De Mevius ผู้ก่อตั้งบริษัท Anheuser-Busch Inbev  (ธุรกิจเครื่องดื่ม) มีทรัพย์สิน 54.1 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ ตั้งอยู่ในประเทศเบลเยี่ยม

              ธุรกิจเบียร์ของทั้ง 3 ตระกูลเบลเยี่ยมเริ่มขึ้นในช่วงศตวรรษที่ 14 ตระกูล Van Damme เข้าร่วมเมื่อมีการควบรวมกิจการระหว่าง Piedboeuf และ Artois ในปี 1987 ซึ่งทำให้เกิดการก่อตั้งของ Interbrew และต่อมาไปรวมกับ AmBev ของบราซิลในปี 2004  บริษัทจัดการทรัพย์สินของตระกูล Verlinvest ได้ตั้งขึ้นมาเพื่อบริหารทรัพย์สินมากกว่า 2 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ
http://fortune.com/2015/12/08/ab-inbev-ceo-defends-merger-congress/
ประวัติของตระกูล

รุ่นที่ 1ปี 1895: Edmond Willems เจ้าของ Artois Brewery เสียชีวิต
รุ่นที่ 2ปี 1926: Brewery ได้ผลิต Stella Artois เป็นเบียร์วันคริสต์มาส
รุ่นที่ 3ปี 1968: Artois ซื้อกิจการ Dommelsch Brewery
รุ่นที่ 4ปี 1987: การควบรวมกิจการระหว่าง Artois และ Piedboeuf Breweries
รุ่นที่ 5ปี 2008: การรวมกิจการของ Anheuser-Busch และ InBev




อันดับที่ 5
          ตระกูล Dumas ผู้ก่อตั้งบริษัท Hermes (ธุรกิจสินค้าหรูหรา) มีทรัพย์สิน 49.2 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ ตั้งอยู่ในกรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส

         Jean-Loise Dumas (เสียชีวิตเมื่อปี 2010) ได้รับการขนานนามว่าเป็นผู้ที่ทำให้ Hermes เป็นแบรนด์ของสินค้าหรูหราที่โด่งดังไปทั่วโลก คนในตระกูลที่ยังคงตำแหน่งอาวุโสได้แก่ Pierre-Alexis Dumas เป็นหัวหน้าฝ่ายออกแบบและ Axel Dumas เป็นประธานบริษัท
https://www.scmp.com/business/companies/article/2138959/hermes-keeps-luxury-family-it-translates-its-model-super
ประวัติของตระกูล

รุ่นที่ 1 - ปี 1837: Thierry Hermes เริ่มผลิตอานม้าขายสำหรับขุนนาง
รุ่นที่ 2 - ปี 1880: ธุรกิจย้ายไปที่ 24 Faubourg Saint-Honore, Paris
รุ่นที่ 3ปี 1902: หลานชายทั้ง 2 คน Emile Maurice Hermes และ Adolphe Hermes ได้ขึ้นเป็นประธานบริษัทร่วมกัน
รุ่นที่ 4  - ปี 1950: Robert Dumas และ Jean-Rene Guerrand หลานเขยของ Emile ได้กระจายธุรกิจ
รุ่นที่ 5  - ปี 1978: Jean-Loius Dumas จัดตั้งร้านค้าทั่วโลก
รุ่นที่ 6  - ปี 2013: Axel Dumas ขึ้นเป็นซีอีโอร่วม

อันดับที่ 6
             ตระกูล Wertheimer ผู้ก่อตั้งบริษัท Chanel (ธุรกิจสินค้าหรูหรา) มีทรัพย์สิน 45.6 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ ตั้งอยู่ในกรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส

             สองพี่น้อง Alain และ Gerard Wertheimer ได้เก็บเกี่ยวผลประโยชน์จากธุรกิจของคุณปู่ของเขาที่สนับสนุน Coco Chanel ตั้งแต่ปี 1920 ที่ปารีส แฟชั่นเฮ้าส์ที่พี่น้องดูแลอยู่ได้นำเสนอ little black dressออกมาเป็นครั้งแรกและทำรายได้ถึง 9.6 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2017 ตระกูล Wertheimer ยังมีม้าแข่งและไร่องุ่นในความครอบครอง
https://www.celebfamily.com/business/alain-wertheimer.html
ประวัติของตระกูล

รุ่นที่ 1  - ปี 1924: Pierre Wertheimer เจรจาทำน้ำหอมกับแฟชั่นนิสต้าชื่อ Coco Chanel
รุ่นที่ 2  - ปี 1963: Jacques Wertheimer หรือรู้จักในนาม the kidของ Coco Chanel รับช่วงต่อจากบิดาที่เสียไป
รุ่นที่ 3  - ปี 2018: Chanel เปิดเผยผลประกอบการเป็นครั้งแรก

อันดับที่ 7
             ตระกูล Ambani ผู้ก่อตั้งบริษัท Reliance Industries (ธุรกิจสินค้าอุตสาหกรรม) มีทรัพย์สิน 43.4 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ ตั้งอยู่ในเมืองมุมไบ ประเทศอินเดีย

             Dhirubhai Ambani บิดาของ Mukesh และ Anil เริ่มก่อตั้ง Reliance Industries ในปี 1957 ในปี 2002 ที่ Dhirubhai เสียชีวิตโดยไม่ได้ทำพินัยกรรม ภรรยาของเขาได้ทำข้อตกลงระหว่างลูกชายของเขาเกี่ยวกับมรดกตระกูล
Mukesh ขึ้นเป็นผู้นำธุรกิจในเครือที่อยู่ใน Mumbai ทั้งหมด โดยรวมถึงบริษัทกลั่นน้ำมันที่ใหญ่ที่สุดในโลก Mukesh อาศัยอยู่ในคฤหาสน์ 27 ชั้นซึ่งถือเป็นบ้านที่มีราคาแพงที่สุดในโลก
http://www.rediff.com/money/report/ambanis-are-asias-richest-family/20171116.htm
ประวัติของตระกูล

รุ่นที่ 1  - ปี 1957: Dhirubhai Ambani เดินทางกลับสู่อินเดียจากเยเมน
รุ่นที่ 2  - ปี 2002: ลูกชายคนโต Mukesh รับหน้าที่ประธานบริษัท

อันดับที่ 8
               ตระกูล Quandt ผู้ก่อตั้งบริษัท BMW  (ธุรกิจยานยนต์) มีทรัพย์สิน 42.7 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ ตั้งอยู่ในเมืองมิวนิค ประเทศเยอรมัน

              Herbert Quandt ได้พลิกฟื้น BMW จากธุรกิจรถยนต์ที่ประสบปัญหามาสู่ธุรกิจยานยนต์ที่มีชื่อเสียงถึงความหรูหรา  Stefan Quandt และ Susanne Klatten ลูกของ Johanna Quandt ภรรยาม่ายของ Herbert  ได้รับช่วงธุรกิจต่อหลังจากการตายของ Johanna ในปี 2015  ตระกูล Quandt ยังได้ลงทุนใน Logwin บริษัทขนส่งในเยอรมัน และ Gemalto บริษัทผู้ให้บริการด้านความปลอดภัยของข้อมูลในเนเธอร์แลนด์
http://fortune.com/2015/08/06/johanna-quandt-the-billionaire-widow-behind-bmw-dies-aged-89/
ประวัติของตระกูล

รุ่นที่ 1  - ปี 1883: Emil Quandt รับช่วงบริษัทสิ่งทอต่อจากพ่อตาที่เสียไป
รุ่นที่ 2  - ปี 1933: Guenther Quandt เข้าร่วมกับนาซี
รุ่นที่ 3  - ปี 1954: Herbert Quandt รับช่วงธุรกิจต่อและถือหุ้น BMW เพิ่มเป็น 50%
รุ่นที่ 4  - ปี 2015: Johanna Quandt ภรรยาของ Herbert เสียชีวิต

อันดับที่ 9
             ตระกูล Cargill, Macmillan ผู้ก่อตั้งบริษัท Cargill  (ธุรกิจอุตสาหกรรม) มีทรัพย์สิน 42.3 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ ตั้งอยู่ในเมือง Minneapolis รัฐ Minnesota ประเทศสหรัฐอเมริกา

           ตระกูล Cargill เป็นหุ้นส่วนรายใหญ่ของ Cargill Inc. ซึ่งเป็นบริษัทจำกัดใหญ่ที่สุดในสหรัฐอเมริกาที่ถือหุ้นโดยตระกูล ในปี 1865 William W. Cargill ได้ก่อตั้งธุรกิจโภคภัณฑ์โดยเริ่มจากคลังสินค้าเก็บข้าวเพียงหนึ่งโรงใน Conover, Iowa ต่อมาลูกหลานของตระกูลได้ดูแลธุรกิจอาหาร, เกษตรกรรม, และอุตสาหกรรม
https://en.wikipedia.org/wiki/Cargill
ประวัติของตระกูล

รุ่นที่ 1  - ปี 1865: William W. Cargill เป็นเจ้าของโรงเก็บข้าว
รุ่นที่ 2  - ปี 1884: John H. MacMillan เริ่มทำงานที่ธนาคารของบิดาใน Wisconsin
รุ่นที่ 3  - ปี 1936: John MacMillan Jr. เป็นประธานต่อจากบิดา
รุ่นที่ 4  - ปี 1960: Erwin Kelm เป็นประธานคนแรกของ Cargill ที่ไม่ใช่คนในตระกูล
รุ่นที่ 5  - ปี 1980: Cargill เข้าร่วมในธุรกิจค้าขายกาแฟ
รุ่นที่ 6  - ปี 2011: Mosaic Company และ Cargill ตกลงที่จะแยกบริษัท

อันดับที่ 10
           ตระกูล Boehringer, Von Baumbach ผู้ก่อตั้งบริษัท Boehringer Ingelheim (ธุรกิจเภสัชภัณฑ์) มีทรัพย์สิน 42.2 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ ตั้งอยู่ในเมือง Ingelheim ประเทศเยอรมัน

           บริษัท Boehringer Ingelheim เป็นบริษัทเภสัชภัณฑ์ของเยอรมัน ก่อตั้งในปี 1885 โดย Albert Boehringer และต่อมาอีกกว่า 130 ปี ธุรกิจซึ่งรวมถึงธุรกิจ the von Baumbachs ก็ยังอยู่ภายใต้การดูแลของตระกูล Boehringer   ประธาน Hubertus von Baumbach และตระกูลของเขาเป็นเจ้าของบริษัท
https://www.oriola.com/publications/press-releases/oriola-and-boehringer-ingelheim-continue-their-cooperation/
ประวัติของตระกูล

รุ่นที่ 1  - ปี 1885: Albert Boehringer ซื้อโรงงานเล็กๆในเยอรมัน
รุ่นที่ 2  - ปี 1939: Albert Boehringer เสียชีวิต
รุ่นที่ 3  - ปี 1992: Erich von Baumbach ลูกเขยของ Albert Boehringer Jr. ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นประธานกลุ่มผู้ถือหุ้น
รุ่นที่ 4  - ปี 2010: บริษัทฉลองครบรอบ 125 ปี



อันดับที่ 11
               ตระกูล Albrecht ผู้ก่อตั้งบริษัท Aldi (ธุรกิจค้าปลีก) มีทรัพย์สิน 38.8 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ ตั้งอยู่ในเมือง Essen and Muelheim ประเทศเยอรมัน

               Theo และ Karl Albrecht พี่น้องรับช่วงร้านขายของชำของตระกูลหลังจากที่กลับมาจากสงครามโลกครั้งที่สองและได้ขยายธุรกิจจนเป็นซูเปอร์มาร์เก็ตระดับประเทศภายใต้ชื่อ Aldi ในช่วงปี 1960 พี่น้องได้ตกลงแยกบริษัทกัน หลังจากมีความเห็นไม่ตรงกันในเรื่องการดำเนินธุรกิจ ปัจจุบันนี้ Aldi ทั้งสองฝั่ง Aldi Nord และ Aldi Sud มีสาขารวมกันทั้งหมดมากกว่า 10,000 สาขา  ตระกูลของ Theo ได้เป็นเจ้าของ Trader Joes ที่ได้ซื้อมาในปี 1979
https://myaccount.news.com.au/sites/theaustralian/subscribe.html?sourceCode=TAWEB_WRE170_a_GGL&mode=premium&dest=https%3A%2F%2Fwww.theaustralian.com.au%2Fhigher-education%2Faldi-pays-their-graduate-recruits-the-highest-salaries%2Fnews-story%2F375c3ff5be7630dbfa96858980b86a37%3Fnk%3Dcfb331193340c881559a5f7b6ab76ac3-1537524592&memtype=anonymous&v21suffix=bmaf-b
ประวัติของตระกูล

รุ่นที่ 1  - ปี 1913: ร้านขายของชำของ Albreht เปิดให้บริการครั้งแรกที่ Essen, Germany
รุ่นที่ 2  - ปี 1971: Theo Albrecht ถูกลักพาตัวไป 17 วัน ก่อนถูกปล่อยตัวโดยต้องจ่ายค่าไถ่ถึง 2 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
รุ่นที่ 3  - ปี 2014: Karl Albrecht เสียชีวิต

อันดับที่ 12
               ตระกูล Mulliez ผู้ก่อตั้งบริษัท Auchan  (ธุรกิจค้าปลีก) มีทรัพย์สิน 37.5 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ ตั้งอยู่ในเมือง Lille ประเทศฝรั่งเศส

ตระกูล Mulliez ได้มีอาณาจักรค้าปลีกตั้งแต่ตอนที่ Gerard Mulliez เริ่มก่อตั้ง Auchan ซึ่งได้รับการขนานนามว่าเป็น Walmart ของฝรั่งเศสในปี 1961 ปัจจุบัน Auchan ได้กลายเป็นหนึ่งในร้านค้าปลีกที่ใหญ่ที่สุดในยุโรป Association Familliale Mulliez เป็นผู้ควบคุมดูแลกลุ่มธุรกิจขายปลีกที่หลากหลายทั้งหมด โดยรวมถึงธุรกิจตกแต่งบ้านอย่าง Leroy Merlin หรือธุรกิจการกีฬาอย่าง Decathlon
http://www.luxuo.com/the-lux-list/super-rich/lvmh-bernard-arnault-france-richest-man.html/attachment/gerard-mulliez
ประวัติของตระกูล

รุ่นที่ 1  - ปี 1931: Gerand Mulliez เกิดมาในตระกูลธุรกิจค้าขายเสื้อผ้า
รุ่นที่ 2  - ปี 1961: Mullliez เปิด Auchan ร้านแรกในฝรั่งเศส
รุ่นที่ 3  - ปี 1998: Auchan ขยายธุรกิจไปที่ฮังการี
รุ่นที่ 4  - ปี 2016: Auchan สาขาที่100 ในรัซเซีย

อันดับที่ 13
               ตระกูล Kwok ผู้ก่อตั้งบริษัท Sun Hung Kai Properties (ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์) มีทรัพย์สิน 34.0 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ ตั้งอยู่ในฮ่องกง

              Kwok Tak-Seng ได้จดทะเบียนบริษัท Sun Hung Kai Properties ในปี 1972 หลังจากนั้นธุรกิจของเขาได้กลายเป็นหนึ่งในบริษัทอสังหาริมทรัพย์ที่ใหญ่ที่สุดในฮ่องกง และเป็นที่มาของทรัพย์สินทั้งหมดของตระกูล ลูกชายของเขา Walter, Thomas, และ Raymond ได้เข้าดูแลบริษัทหลังจากที่เขาเสียชีวิตในปี 1990
https://www.scmp.com/business/money/wealth/article/2120033/sun-hung-kai-properties-kwok-family-asias-third-richest
ประวัติของตระกูล

รุ่นที่ 1  - ปี 1972: Kwok Tak-Seng เจ้าของร้านค้าส่ง ได้ก่อตั้งบริษัท Sun Hung Kai Properties
รุ่นที่ 2  - ปี 2008: Walter Kwok ถูกขับออกจากการเป็นประธานหลังจากการทะเลาะกันระหว่างพี่น้อง

อันดับที่ 14
              ตระกูล Cox ผู้ก่อตั้งบริษัท Cox Enterprises  (ธุรกิจการสื่อสารและยานยนต์) มีทรัพย์สิน 33.6 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ ตั้งอยู่ในเมือง Atlanta รัฐ Georgia ประเทศสหรัฐอเมริกา

             ตระกูล Cox เป็นเจ้าของบริษัทในเครือ Cox Enterprises ทั้งหมดโดยมีรายได้ประมาณ 20 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ ธุรกิจสื่อสารในเครือเป็นบริษัทสื่อสารอันดับสามของสหรัฐ James M. Cox ได้ก่อตั้งบริษัทขึ้นในปี 1898 ลูกหลานของตระกูลรวมถึง James C. Kennedy และ Blair Parry-Okeden ยังคงเป็นผู้ถือหุ้นในปัจจุบัน
https://www.allaccess.com/net-news/archive/story/58185/cox-enterprises-extends-tender-offer-again
ประวัติของตระกูล

รุ่นที่ 1  - ปี 1898: James M. Cox ซื้อธุรกิจหนังสือพิมพ์
รุ่นที่ 2  - ปี 1957: Jim Cox Jr. ดูแลบริษัทต่อหลังจากการเสียชีวิตของบิดา
รุ่นที่ 3  - ปี 1988: Jim Kennedy ผู้เป็นหลานชายของ James Cox ได้เลื่อนตำแหน่งเป็นประธานบริษัท
รุ่นที่ 4  - ปี 2018: Alex Taylor เป็นผู้บริหาร Cox Enterprises


อันดับที่ 15
             ตระกูล Pritzker ผู้ก่อตั้งบริษัท Hyatt Hotels  (ธุรกิจโรงแรม) มีทรัพย์สิน 33.5 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ ตั้งอยู่ในเมือง Chicago รัฐ Illinois ประเทศสหรัฐอเมริกา

             A.N. Pritzker ลูกชายผู้อพยพชาวยูเครน ได้ลงทุนในอสังหาริมทรัพย์และบริษัทที่มีปัญาหา ขณะที่ทำงานในบริษัทกฏหมายของบิดา การลงทุนในครั้งนั้นให้ผลตอบแทนมหาศาลกับครอบครัวจนส่งให้เป็นตระกูลที่ยิ่งใหญ่ในอเมริกาในเวลาต่อมา Penny Pritzker ผู้สนับสนุนโดดเด่นของพรรคเดโมเครต ได้รับการแต่งตั้งให้เป็น U.S. Commerce Secretary ภายใต้รัฐบาล Barack Obama และน้องชายของเธอ J.B. ได้เป็นผู้ว่าการรัฐ Illinois
https://dailynorthwestern.com/2015/10/22/campus/northwestern-receives-100-million-from-pritzker-family-renames-school-of-law/
ประวัติของตระกูล

รุ่นที่ 1  - ปี 1881: Nicholas Pritzker ได้ตั้งถิ่นฐานที่เมืองชิคาโก
รุ่นที่ 2  - ปี 1936: Abram และ Jack Pritzker ได้ขยายธุรกิจจากสำนักกฏหมายไปที่ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์
รุ่นที่ 3  - ปี 1957: หลานชาย Jay และ Donald Pritzker ได้ก่อตั้งโรงแรม Hyatt
รุ่นที่ 4  - ปี 1999: Jay Pritzker เสียชีวิต


อันดับที่ 16
                ตระกูล Lee ผู้ก่อตั้งบริษัท Samsung  (ธุรกิจเครื่องใช้ไฟฟ้า) มีทรัพย์สิน 30.9 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ ตั้งอยู่ในกรุงโซล ประเทศเกาหลี

              Lee Byung-chull บิดาของ Lee Kun-hee ได้ก่อตั้งบริษัทการค้า Samsung ในปี 1938 ขณะนั้นบริษัทไม่ได้เป็นที่รู้จักในนามบริษัทที่ผลิตสมาร์ตโฟนที่ใหญ่ที่สุดในโลก Lee Kun-hee เป็นประธานบริษัท และลูกชายของเขา Jay Y. Lee ได้ถูกปล่อยตัวจากเรือนจำในเดือนกุมภาพันธ์ปีนี้หลังจากได้รับการลดหย่อนโทษในเรื่องเกี่ยวกับการให้สินบน
http://uk.businessinsider.com/lee-family-power-war-for-samsung-scandals-and-bribes-2015-6
ประวัติของตระกูล

รุ่นที่ 1  - ปี 1938: Lee Byung-chull เริ่มธุรกิจส่งออกผัก ผลไม้ และปลา
รุ่นที่ 2  - ปี 1987: Lee Kun-hee เป็นประธานบริษัท Samsung
รุ่นที่ 3  - ปี 2014: Lee Kun-hee เข้าโรงพยาบาลด้วยโรคหัวใจ


อันดับที่ 17
                ตระกูล Rausing ผู้ก่อตั้งบริษัท Tetra Pak  (ธุรกิจบรรจุภัณฑ์) มีทรัพย์สิน 30.9 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ ตั้งอยู่ในกรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ

               ความมั่งคั่งของตระกูลได้มาจาก Tetra Pak ธุรกิจบรรจุหีบห่อเครื่องดื่ม ซึ่งก่อตั้งขึ้นในประเทศสวีเดนโดย Ruben Rausing ช่วงปี 1950 ปัจจุบันบริษัท Tetra Pak หนึ่งในบริษัทผลิตบรรจุภัณฑ์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก อยู่ภายใต้การบริหารของลูกหลานของ Gad  ในปี 1995 Hans ลูกชายอีกคนของ Ruben ได้ขายหุ้นทั้งหมดในบริษัทให้กับ Gad และไปลงทุนในบริษัทบรรจุภัณฑ์ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมผ่านทางบริษัทที่ปรึกษาในอังกฤษ Alta Advisers Limited
https://www.dailymail.co.uk/news/article-2637897/The-Tetra-Pak-billionaire-hid-drug-addict-wifes-body-new-love-marry-bitter-family-rift.html
ประวัติของตระกูล

รุ่นที่ 1  - ปี 1929: Ruben Rausing เข้าเป็นหุ้นส่วนในบริษัท บรรจุภัณฑ์
รุ่นที่ 2  - ปี 1995: Hans Rausing ได้ขายหุ้นทั้งหมดให้กับ Gad ผู้เป็นพี่ชาย
รุ่นที่ 3  - ปี 2012: Hans Kristian Rausing ลูกชายของ Hans ถูกจับในข้อหาการขัดขืนไม่ให้มีการฝังศพภรรยาของเขาที่เสียชีวิตจากการได้ยาเกินขนาด



อันดับที่ 18
               ตระกูล Thomson ผู้ก่อตั้งบริษัท Thomson Reuters  (ธุรกิจด้านสื่อ) มีทรัพย์สิน 30.9 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ ตั้งอยู่ในเมืองออนตาริโอ ประเทศแคนาดา

              ความมั่งคั่งของตระกูลที่ร่ำรวยที่สุดในประเทศแคนาดา เริ่มขึ้นในทศวรรษที่ 1930 เมื่อ Roy Thomson ได้เปิดสถานีวิทยุขึ้นที่ Ontario หลังจากนั้น 5 ปี Roy ได้กลายเป็นเจ้าของสื่อหนังสือพิมพ์ชั้นนำของประเทศ ปัจจุบันตระกูลของ Roy เป็นเจ้าของหุ้น 64% ในบริษัท Thomson Reuters ผู้ให้การบริการด้านข้อมูลข่าวสารทางธุรกิจ ผ่านทางบริษัทจัดการด้านลงทุน Woodbridge
https://www.marketwatch.com/story/at-thomson-reuters-tensions-between-family-and-board-rise-with-blackstone-deal-2018-02-15
ประวัติของตระกูล

รุ่นที่ 1  - ปี 1934: Roy Thomson เริ่มซื้อกิจการหนังสือพิมพ์ The Timmins Press
รุ่นที่ 2  - ปี 2006: Ken Thomson เสียชีวิต
รุ่นที่ 3  - ปี 2018: Thomson Reuter ได้ขายหุ้นส่วนใหญ่ในส่วนของ Financial and Risk Unit ให้กับ Blackstone


อันดับที่ 19
                  ตระกูล Johnson (SC) ผู้ก่อตั้งบริษัท SC Johnson  (ธุรกิจผลิตภัณฑ์ครัวเรือน) มีทรัพย์สิน 28.2 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ ตั้งอยู่ในเมือง Atlanta รัฐ Georgia ประเทศสหรัฐอเมริกา

                   ในช่วง 5 รุ่นของตระกูล Johnson ได้สร้างบริษัท SC Johnson ให้กลายเป็นบริษัทผู้ผลิตผลิตภัณฑ์ครัวเรือน  ในปี 1882 Samuel C. Johnson ได้เริ่มขายพื้นไม้ปาร์เก้ ซึ่งได้กลายเป็นพื้นฐานธุรกิจของบริษัท H. Fisk Johnson เป็นประธานและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ผลิตภัณฑ์ของบริษัทรวมถึงสินค้ายี่ห้อ Muscle Raid และ Windex
http://www.trueactivist.com/sc-johnson-billionaire-gets-4-months-for-sexually-assaulting-12-year-old/
ประวัติของตระกูล

รุ่นที่ 1  - ปี 1886: Samuel C. Johnson เริ่มเดินสายขายผลิตภัณฑ์เกี่ยวกับพื้นปาร์เก้
รุ่นที่ 2  - ปี 1906: Herbert F. Johnson Sr. เข้ามาเป็นหุ้นส่วน
รุ่นที่ 3  - ปี 1928: Herbert F. Johnson Jr. ขณะอายุ 28 ปี ได้รับช่วงบริหารบริษัทหลังจากที่บิดาเสียชีวิต
รุ่นที่ 4  - ปี 1955: Samuel C. Johnson เหลนของผู้ก่อตั้งบริษัท ได้เข้าทำงานในตำแหน่งผู้อำนวยการฝ่ายผลิตภัณฑ์ของบริษัท
รุ่นที่ 5  - ปี 1992: SC Johnson ซื้อกิจการของบริษัท Drackett


อันดับที่ 20
                 ตระกูล Dassault ผู้ก่อตั้งบริษัท Dassault Group  (ธุรกิจหลายแขนง) มีทรัพย์สิน 27.8 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ ตั้งอยู่ในกรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส

                ธุรกิจของ Dassault Group ครอบคลุมตั้งแต่การผลิตอากาศยานทหาร สื่อหนังสือพิมพ์ อสังหาริมทรัพย์ จนถึงธุรกิจซอฟแวร์  Dassault Group ก่อตั้งโดย Marcel Bloch เจ้าพ่อวงการบินชาวยิว ผู้ถูกนาซีจับตัวไปช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง ต่อมา Marcel ได้เปลี่ยนชื่อตนเป็น Dassault เพื่อรำลึกถึงพี่ชายของเขาผู้ใช้นามแฝงในสงครามว่า Assault Tank
https://www.celebfamily.com/politician/serge-dassault-family.html
ประวัติของตระกูล

รุ่นที่ 1  - ปี 1944: Marcel Bloch ถูกส่งตัวไปที่ Buchenwald Concentration Camp ของนาซี
รุ่นที่ 2  - ปี 1986: Serge Dassault เจ้าพ่อวงการบินรับช่วงดูแลบริษัทหลังจากการเสียชีวิตของบิดา
รุ่นที่ 3  - ปี 2018: Serge Dassault เสียชีวิต


อันดับที่ 21
               ตระกูล Duncan ผู้ก่อตั้งบริษัท Enterprise Products Partners  (ธุรกิจก๊าชและน้ำมัน) มีทรัพย์สิน 26 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ ตั้งอยู่ในเมืองฮุสตัน แท๊กซัส ประเทศสหรัฐอเมริกา

             Dan L. Duncan ก่อตั้งบริษัท Enterprise Products Partners ในปี 1968 ก่อนที่ Duncan จะอายุ 18 เขาได้สูญเสียมารดาจากวัณโรค สูญเสียพี่ชายจากโรคเลือดเป็นพิษ และบิดาจากโรคลูคีเมีย  Duncan เสียชีวิตในปี 2010
https://en.wikipedia.org/wiki/Dan_Duncan
ประวัติของตระกูล

รุ่นที่ 1  - ปี 1968: Dan L. Duncan ก่อตั้งบริษัท Enterprise Product Partners ด้วยเงินทุน 10,000 ดอลลาร์สหรัฐ
รุ่นที่ 2  - ปี 2010: Enterprise Products อยู่ภายใต้การบริหารของตระกูล Duncan หลังจากการเสียชีวิตกระทันหันของ Dan L. Duncan



อันดับที่ 22
                 ตระกูล Hoffmann, Oeri ผู้ก่อตั้งบริษัท Roche  (ธุรกิจยา) มีทรัพย์สิน 25.1 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ ตั้งอยู่ในเมืองบาเซิล ประเทศสวิสเซอร์แลนด์

                 Fritz Hoffmann-La Roche ผู้ผลิตยาได้ก่อตั้งบริษัท Roche Holding ในปี 1896 ปัจจุบันลูกหลานของ Hoffmann ได้ถือหุ้น 9% ของบริษัท ซึ่งมีรายได้จากการขายยารักษาเนื้องอกถึง 54.1 ล้านดอลลาร์สหรัฐ สมาชิกครอบครัวของเขาเป็นผู้ให้การสนับสนุนรายใหญ่เกี่ยวกับการอนุรักษ์ธรรมชาติ Andre Hoffmann ทายาทรุ่นที่ 4 ได้ก่อตั้งและเป็นประธานบริษัท Massellaz SA.
https://www.ft.com/content/0f34ce6c-5d1f-11e5-9846-de406ccb37f2
ประวัติของตระกูล

รุ่นที่ 1  - ปี 1896: Fritz Hoffmann-La Roche ก่อตั้งบริษัทยาเมื่ออายุ 28 ปี
รุ่นที่ 2  - ปี 1932: Emanuel ลูกชายของ Fritz Hoffmann เสียชีวิตในอุบัติเหตุรถยนต์
รุ่นที่ 3  - ปี 1953: Lukas Hoffmann เข้าร่วมเป็นคณะกรรมการบริษัท
รุ่นที่ 4  - ปี 1996: Andre Hoffmann เข้าร่วมเป็นคณะกรรมการบริษัท


อันดับที่ 23
               ตระกูล Hearst ผู้ก่อตั้งบริษัท Hearst Corporation  (ธุรกิจสื่อและข้อมูลทางธุรกิจ) มีทรัพย์สิน 24.5 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ ตั้งอยู่ในเมืองนิวยอร์ค ประเทศสหรัฐอเมริกา

                William Randolph Hearst ได้วางรากฐานธุรกิจที่มั่นคงให้กับครอบครัวเมื่อเขาได้รับช่วงธุรกิจหนังสือพิมพ์ The San Francisco Examiner ต่อจากบิดาในปี 1887 ปัจจุบัน William Randolph Hearst III หลานของ William เป็นประธานบริษัท ธุรกิจของ Hearst ได้ครอบคลุมถึงการลงทุนในเครือข่ายโทรทัศน์ A&E และ ESPN   คนอาจจะรู้จัก Hearst ในนามบริษัทสื่อสาร แต่แท้จริงแล้ว Hearst ยังเป็นเจ้าของ Fitch Ratings ด้วย
https://www.hearst.com/about/bios/william-r-hearst
ประวัติของตระกูล

รุ่นที่ 1  - ปี 1880: George Hearst ซื้อธุรกิจหนังสือพิมพ์ The San Francisco Examiner
รุ่นที่ 2  - ปี 1887: George ได้มอบธุรกิจหนังสือพิมพ์ The San Francisco Examiner ให้กับ William Randolph Hearst ลูกชายของเขาบริหาร หลังจากที่ William ถูกไล่ออกจาก Harvard University
รุ่นที่ 3  - ปี 1956: William Randolph Hearst Jr. ลูกชายคนที่สองของ William ได้รับรางวัล Pulitzer สำหรับการรายงานข่าวต่างประเทศ
รุ่นที่ 4  - ปี 1974: Patty หลานสาวของ William Randolph Hearst Sr. ถูกลักพาตัวไปถึง 19 เดือน
รุ่นที่ 5  - ปี 2018: Fitch Group เป็นธุรกิจที่ Hearst ถือหุ้นทั้งหมด

อันดับที่ 24
               ตระกูล Lauder ผู้ก่อตั้งบริษัท Estee Lauder  (ธุรกิจเครื่องสำอาง) มีทรัพย์สิน 24.3 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ ตั้งอยู่ในเมืองนิวยอร์ค ประเทศสหรัฐอเมริกา

              Estee Lauder และ Joseph สามีได้เริ่มธุรกิจขายผลิตภัณฑ์ดูแลผิวเมื่อปี 1946  ปัจจุบันยอดขายของเครื่องสำอางและน้ำหอมของบริษัทสูงถึง 12 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ 
Leonard ประธานกิตติมศักดิ์และเป็นที่รู้จักกันว่าเป็นนักสะสมงานศิลปะได้มอบงานศิลปะหลายร้อยชิ้นให้กับพิพิธภัณฑ์
http://fortune.com/2013/10/31/an-outsider-in-the-family-castle/
ประวัติของตระกูล

รุ่นที่ 1  - ปี 1947: Estee Lauder ได้รับใบสั่งซื้อผลิตภัณฑ์เป็นมูลค่าถึง 800 ดอลลาร์สหรัฐ จาก Saks Fifth Avenue
รุ่นที่ 2  - ปี 1955: Estee Lauder เกษียณอายุ
รุ่นที่ 3  - ปี 2009: William Lauder หลานชายของ Estee Lauder เป็นผู้บุกเบิกธุรกิจไปสู่นานาชาติ เลื่อนตำแหน่งจาก CEO เป็นประธานบริษัท


อันดับที่ 25
               ตระกูล Ferrero ผู้ก่อตั้งบริษัท Ferrero  (ธุรกิจการผลิตขนมหวาน) มีทรัพย์สิน 22.9 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ ตั้งอยู่ในเมืองอัลบา ประเทศอิตาลี

              Michele Ferrero เริ่มก่อตั้งโรงงานผลิตช็อคโกแลตจากเมืองเล็กๆในประเทศอิตาลี 
Giovanni ลูกชายของ Michele ได้บริหารธุรกิจครอบครัวหลังจากที่ลูกชายอีกคนของ Michele ตายด้วยอุบัติเหตุในปี 2011
Ferrero ได้ซื้อกิจการขนมหวานของ Nestle ในสหรัฐอเมริกาด้วยวงเงินสูงถึง 2.8 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2018
https://www.express.co.uk/news/world/558319/Nutella-Michele-Ferrero-dead
ประวัติของตระกูล 

รุ่นที่ 1  - ปี 1946: Pietro Ferrero ได้เริ่มผลิตขนมหวานจากถั่วเฮเซลนัท น้ำตาลและผงโกโก้ ในประเทศอิตาลี
รุ่นที่ 2  - ปี 1964: Nutella ขวดแรกได้ถูกผลิตขึ้น
รุ่นที่ 3  - ปี 2017: เป็นครั้งแรกที่ Ferrero ได้แต่งตั้ง Lapo Civiletti บุคคลภายนอกเป็น Chief Executive




วิธีการศึกษาและประมวลผล

              ตัวเลขความมั่งคั่งสุทธิ ณ วันที่ 15 เดือนมิถุนายน ปี 2018 และเป็นการจัดลำดับที่ไม่นับรวมตระกูลที่ร่ำรวยตั้งแต่รุ่นแรกหรือตระกูลที่บริหารจัดการโดยทายาทเพียงคนเดียว รวมถึงตระกูลที่ร่ำรวยจากรายได้รัฐ

               (ข้อความนี้ได้ถูกเผยแพร่เป็นครั้งแรกเมื่อวันที่ 27 มิถุนายน 2018 และได้รับการปรับปรุงข้อมูลอีกครั้งในวันที่ 28 มิถุนายน 2018)
ข้อความนี้ได้รับการตรวจสอบแก้ไขโดย Shelly Hagan, Andrew Heathcote, Tom Metcalf, Devon Pendleton, Olivia Carville, Yoojung Lee.
รูปภาพจาก Getty Images

กิติชัย เตชะงามเลิศ


    22/1/62


ถ้าท่านชอบบทความผม ท่านสามารถสมัครสมาชิกโดยกรอกอีเมลของท่าน ในช่องใต้ Follow by Email ทางด้านขวามือ เมื่อมีบทความใหม่ๆ ก็จะมีการส่งอีเมลแจ้งเตือนให้ท่านทราบ เพื่อจะได้ไม่พลาดบทความดีๆกันนะครับ



ติดตามสาระดีๆทั้งไลฟ์สไตล์และการลงทุนได้ที่


      หรือ 1.หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์ทุกวันพุธหน้า B6 ในคอลัมน์ "เขียนอย่างที่คิด"   
              2.วารสารเภตรา ของสมาคมศิษย์เก่าคณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี และ จุลสารเตชะสาร ของสมาคมเตชะสัมพันธ์ ทุกไตรมาส



 ณ วรา เรสซิเดนท์ หลังสวน ขายดาวน์ยูนิตสุดสวย ชั้นเพนท์เฮ้าส์ พร้อมเฟอร์นิเจอร์พรีเมียมครบชุด ซื้อมาในรอบ VVIP เจ้าของขายเอง ราคาพิเศษ เดิน 3 นาที จาก BTS ชิดลม











     ห้องที่จะขายดาวน์(คาดว่าจะเสร็จภายใน กย. ปี 2561) : ห้อง ชั้น 8(ชั้นเพนท์เฮ้าส์ ) พื้นที่ 44.37 ตรม.1 นอน 1 น้ำ หันไปทางทิศเหนือ ชั้นนี้ มีสวนลอยฟ้า สระว่ายน้ำ และฟิตเนส วิวดี พร้อมเฟอร์นิเจอร์พรีเมียมครบชุด ตกแต่งสวยมาก ราคา 10,600,000 บาท
สามารถดาวน์โหลดรูปภาพและวีดีโอทั้งหมดของ ณ วรา เรสซิเดนท์ หลังสวน ได้ที่ https://www.dropbox.com/sh/8fp6fwrp4kiejzp/AABAbXTgEiPBXaYba4sV37Aaa?dl=0

ดูรายละเอียดเพิ่มเติมที่  http://thinkofliving.com/2016/02/24/navarang-press-navara/#QIelJ0rQfTXROa15.99

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น